วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใจของคุณเป็นอย่างนี้บ้างไหม

ว่าง ๆ ลองสำรวจดูใจของคุณว่ามีลักษณะเช่นนี้หรือไม่? เป็นคนใจอ่อน ใจง่าย ไม่หนักแน่น ใครพูดอะไรก็เชื่อไปหมด เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด มักทำอะไรเพื่อตามใจคนอื่นมากกว่าที่จะทำเพราะความพอใจตนเอง หรือทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องควรจะเป็น ใจของคุณจึงตกอยู่ใต้อิทธิพลของคนรอบข้างเสมอ ถ้ายิ่งมีจุดอ่อนมากเท่าใด ก็ยิ่งตกเป็นเครื่องมือของคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ใจอ่อน ก็จะตกอยู่ใต้อิทธิพลของลูก ลูกจะเอาอะไรก็ต้องสรรหามาให้ วัยรุ่นที่ใจอ่อนก็ต้องคอยตามใจเพื่อน เพื่อนจะชักจูงให้ทำอะไรก็ทำตาม คนใจอ่อนเมื่อทำงานก็คงเป็นหัวหน้าที่ดีไม่ได้ เพราะขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไรดี จึงจะเลิกเป็นคนใจอ่อนให้ใคร ๆ หลอก ให้เป็นทาสรับใช้ของเขาตลอดไป
คงจะต้องเริ่มต้นด้วยการค้นหาจุดอ่อนของตัวคุณเองให้พบเสียก่อน แล้วจึงทำการแก้ไข คุณที่รู้ตัวว่าเป็นคนใจอ่อน ลองสำรวจตัวเองว่ามีจุดอ่อนดังต่อไปนี้หรือไม่
1. คุณมีความรู้สึกผิดอยู่ในใจ ความรู้สึกผิดนี้เองเป็นจุดอ่อนที่ทำให้คุณพยายามทำในสิ่งต่าง ๆ เพื่อชดเชยความรู้สึกผิด เช่น พ่อแม่ที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกจะรู้สึกผิดที่ทำหน้าที่ของพ่อแม่บกพร่องไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณืแบบจึงชดเชยด้วยการปรนเปรอลูกด้วยสิ่งของหรือตามใจมากเกินไปจนลูกเคยตัวและเสียนิสัย ทั้งที่ความจริงแล้ว พ่อแม่ไม่ได้เจตนาจะสร้างนิสัยเช่นนั้นให้กับลูก
2. คุณกลัวความขัดแย้งและกลัวว่าคนอื่นจะโกรธ กลัวคนอื่นจะไม่พอใจ ความกลัวแบบนี้เป็นจุดอ่อนทำให้คุณต้องเป็นฝ่ายยอมให้คนอื่นอยู่ร่ำไป ไม่กล้าขัดใจใคร ทั้งที่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่คุณต้องฝืนใจอย่างที่สุด เช่นภรรยาที่สงสัยว่าสามีจะนอกใจ แต่ไม่กล้าซักถามเพราะกลัวสามีโกรธพาลทะเลาะกันให้อายลูก ๆ อายคนในบ้านใกล้เรือนเคียง เลยต้องทนทุกข์ระทมขมขื่นอยู่คนเดียว อย่างนี้เป็นต้น
3. คุณเป็นคนขี้สงสาร ใครมาขอให้ช่วยก็ช่วยเขาไปหมด ใครมาเล่าความทุกข์ความลำบากให้ฟังก็เชื่อเขาง่าย ๆ ให้เงินเขาไปง่าย ๆ โดยไม่ทันพิจารณาก่อนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ บางคนมีจุดอ่อนที่เห็นน้ำตาเป็นไม่ได้ เช่นลูกร้องไห้อยากได้ของเล่นก็ต้องรีบหาซื้อให้ เพราะแพ้น้ำตาของลูก หรือคนที่เรารัก
4. คุณเป็นคนชอบคำเยินยอชอบให้ใครมาปรนนิบัติเอาใจ ใครมาทำดีกับคุณพูดดีกับคุณหน่อย คุณก็ยอมเขาไปหมดโดยไม่หยุดคิดเลยว่าคนนั้นเขาจริงใจกับคุณแค่ไหน ถ้าคุณมีจุดอ่อนแบบนี้ คุณจะถูกหลอกใช้หรือถูกหลอกเอาทรัพย์สินไปได้ง่ายมาก
5. คุณกลัวคนอื่นจะไม่ชอบคุณ เป็นความจริงที่คนหลาย ๆ คนกลัวเหลือเกินว่าตัวเองจะเป็นคนที่ไม่มีใครรัก ไม่มีใครชอบ ไม่มีเพื่อนเลยต้องพยายามตามใจคนอื่นให้มากเข้าไว้เพื่อเขาจะได้พอใจ ชอบใจและไม่เกลียดคุณ แต่จุดอ่อนแบบนี้จะทำให้คุณต้อสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป
6. คุณกลัวภัยอันตราย นี่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ถ้าคุณเป็นคนขวัญอ่อนถูกใครข่มขู่เข้าหน่อย กลัวมาก บางครั้งคุณจึงต้องยอมทำตามคำขู่มากกว่าจะกล้าทำในสิ่งที่คุณคิดว่าถูกต้อง ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณเอง
7. คุณกลัวเพื่อนร่วมงานของคุณจะไม่พูดด้วย เพราะบางคนให้ความสำคัญกับเพื่อนคนใดคนหนึ่งมากจนเกินไป จึงต้องคอยตามใจเพื่อนกลัวว่าถ้าทำให้เพื่อนโกรธแล้วเพื่อนจะไม่พูดด้วย ตามความเป็นจริงแล้วเพื่อนนั้นมีหลายคน ถ้าไม่พูดด้วยสักคนก็ไม่เห็นน่าจะเดือดร้อนที่ตรงไหน ทำตัวตามสบายดีกว่า หายโกรธแล้วก็คงพูดกันเองคบกันเป็นเพื่อนต่อไปได้
8. คุณไม่กล้าที่จะทำสิ่งที่แตกต่างไปจากคนอื่นเพราะกลัวว่าจะทำผิด จุดอ่อนนี้จะทำให้คุณต้องเป็นผู้ตามไปตลอดชีวิต คุณคงลืมคิดไปว่า บางครั้งสิ่งที่คนอื่น ๆ เขาทำกันนั้นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกเสมอไปก็ได้ ถ้าคุณเอาแต่คล้อยตามเขาไปโดยไม่คิด คุณก็อาจจะพลอยทำผิดตามไปด้วย และที่สำคัญคุณจะไม่มีความภาคภูมิใจ และไม่มีศักดิ์ศรีในตัวเองเลย
จุดอ่อนที่ทำให้คุณเป็นคนใจอ่อนทั้ง 8 ข้อที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คุณอยู่ในข้อไหนบ้าง ถ้าไม่มีเลยคุณก็เป็นคนใจแข็งอย่างน่าชมเชย แต่ถ้าคุณเป็นคนใจอ่อน ก็อย่าเพิ่งตกใจ ยังมีทางแก้ไขได้ดังนี้
คุณลองถามใจของคุณดูว่า คุณมีความสุขดีอยู่หรือที่ต้องยอมฝืนใจตัวเอง แล้วตามใจใครต่อใครอยู่เรื่อย ๆ คุณชอบหรือที่จะให้ใคร ๆ หลอกใช้คุณ หรือมีอิทธิพลเหนือคุณ ถ้าคุณไม่ชอบ ไม่พอใจ และไม่มีความสุข คุณจะมีวิธีปฏิเสธไม่ยอมตามใจใครอย่างไร เช่น ถ้าลูกคุณร้องไห้รบเร้าให้ซื้อของเล่น คุณจะรีบเดินหนีไปที่อื่น หรือถ้าเพื่อนชวนหนีโรงเรียน คุณจะปฏิเสธว่าไม่ไปเพราะไม่ชอบ เป็นต้น เมื่อคิดวางแผนแล้วว่าจะพูดจะทำอย่างนี้แล้ว ก็ควรทำให้ได้ตามที่คิดไว้ด้วย
เมื่อทำครั้งนี้สำเร็จ คุณจะเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองที่ไม่ต้องอยู่ใต้อำนาจใคร รู้สึกว่าศักดิ์ศรีคุณกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จำความรู้สึกนี้ไว้ เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณไม่ใจอ่อนอีกในคราวหน้า
คุณต้องไม่ลืมว่า คนที่ใจอ่อนชอบตามใจคนอื่นถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ใคร ๆ ชอบก็จริง แต่ก็จะเป็นคนที่ไม่มีใครเกรงใจ เพราะฉะนั้นเลิกใจอ่อนเสียที ทำตัวให้คนอื่นเกรงใจดีกว่า คนอื่นอาจชอบคุณน้อยไปหน่อย แต่ก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นคน เป็นตัวของตัวเองดีกว่าเป็นไหน ๆ

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด

เครียด เป็นภาระที่ทุกคนไม่อยากประสบพบพาน แต่คงไม่มีใครที่ไม่เคยเครียด ดังนั้นมาทำความรู้จักกับความเครียด และวิธีการคิดเพื่อที่จะได้ไม่เครียดกันดีกว่า
ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดจากการตื่นตัวเตรียมรับกับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องที่เกิดกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์และส่งผลทำให้เกิดอาการผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจตามไปด้วย
ความเครียดนั้นมีกันทุกคน แต่ละมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาการคิดการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าคิดว่าปัญหาไม่ร้ายแรงแก้ไขได้โดยง่าย ก็จะไม่เครียด แต่ถ้าหากว่าปัญหานั้นยิ่งใหญ่ ร้ายแรง แก้ไขลำบาก ก็จะทำให้เครียดมาก หากว่ามีความเครียดในระดับที่พอดี ๆ ก็จะช่วยให้มีพลัง มีความกระตือรือร้นในการต่อสูงชีวิต ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งนี่เองคือข้อดีของความเครียด ไม่ใช่ว่าเครียดจะไม่มีส่วนดี ๆ เอาเสียเลย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดมี 2 ประการคือ
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการปรับตัว ปัญหาการเรียน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ล่วนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เกิดความเครียดได้
2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล จะสังเกตได้ว่าคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจัง ใจร้อนและวู่วาม
จากสาเหตุที่สำคัญนี้ ความเครียดจะไม่เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกันคือ มีสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวกระตุ้น แล้วมีความคิดและการประเมินสถานการณ์เป็นตัวบ่งว่าจะเครียดมากเครียดน้อยเพียงใด
เมื่อปัญหากระตุ้นให้เกิดความเครียด การลดความเครียดจึงจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีคิดที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งวิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง
2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วยสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีกด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ฮวงจุ้ยที่ทำงาน

ฮวงจุ้ยที่ทำงาน
ที่ทำงานวุ่นวายมาก งานมีปัญหาบ่อย เจ้านายไม่ค่อยส่งเสริม
เพื่อนร่วมงานขี้อิจฉา ให้แก้เคล็ดตามวันเกิดดังต่อไปนี้

คนเกิดวันอาทิตย์
มีปัญหากับเจ้านายควรจะเสริมดวงชะตาด้วยน้ำ 1 แก้วใหญ่หรือจะใส่ในแจกันแก้วใสวางไว้บนมุมขวามือ ของโต๊ะทำงาน ห้ามนำไปดื่ม และเทน้ำทิ้งทุกวัน น้ำจะเป็นตัวตกกระทบพลังด้านลบต่างๆ และจะช่วยแก้ไขปัญหาให้ค่อยๆเย็นลงได้
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานควรจะแก้เคล็ดเสริมดวงด้วยการนำต้นไม้ต้นเล็กๆมาวางบนโต๊ะทำงานหรือชั้นวางของข้างหลังที่นั่ง จะเป็นบอนไซ ตะโกดัด หรืออะไรก็ได้ และควรจะมีดินด้วย แต่อย่าใช้ดินวิทยาศาสตร์ที่ทำงานวุ่นวายเมื่อมีแต่เรื่องที่ทำให้เครียดไม่สบายใจ ควรใช้หินโรสควอตซ์สีชมพูตกแต่งเป็นต้นไม้ต้นเล็กๆนำมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก็จะสามารถแก้เคล็ดเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นได้เช่นกัน

คนเกิดวันจันทร์
มีปัญหากับเจ้านายควรนำสิ่งของเคริ่องใช้บางอย่างที่ทำด้วยมุก หรือเปลือกหอยชิ้นขนาดเหมาะมือมาวางบนโต๊ะทำงาน
จะเป็นที่ทับกระดาษหรือกล่องใส่นามบัตรก็ได้ จะช่วยขจัดปัญหายุ่งเหยิงออกไปได้
บ้างมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานให้ใช้หินอความารีนสักก้อนหนึ่งมาวางบนโต๊ะทำงานหินจะช่วยส่งคลื่นพลังให้คนรอบข้างจิตใจเย็นลง และมองเราในแง่ดี ตัดความวุ่นวายยุ่งเหยิงในจิตใจของคุณที่ทำงานวุ่นวาย
หากที่ทำงานมีแต่เรื่องที่ทำให้เครียดไม่สบายใจให้ใช้แจกันปากกว้างหรือถ้วยแก้วใสใส่น้ำและลอยดอกไม้ที่มีสีฟ้า น้ำเงิน หรือ
ม่วง ใช้เป็นดอกไม้ผ้าหรือพลาสติกก็ได้ จะช่วยบำบัดสถานที่ต่างๆให้คนเกิดวันจันทร์สงบลงคลายความเคร่งเครียดวุ่นวายลงได้บ้างไม่มากก็น้อย

คนเกิดวันอังคาร
มีปัญหากับเจ้านายควรถือเคล็ดด้วยการสวมเสื้อผ้าโทนสีเขียวให้บ่อยครั้ง ให้กลัดเข็มกลัดรูปใบไม้ติดตัวทุกวัน โดยเฉพาะในยามที่ต้องเข้าพบเจ้านายจะช่วยลดการประทะเจ้านาย เชื่อมั่นชื่อถือในความคิดของคุณมีปัญหากับเพื่อนร่วม
งานให้นำเทียนแท่งที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 นิ้ว ซึ่งเน้นให้มีสีเขียว
มาวางบนโต๊ะทำงานจะขจัดปัญหายุ่งเหยิงขัดแย้งได้มากที่ทำงานวุ่นวายควรใช้หินสี
เขียวสดใส เช่น กรีนอเวนเจอรีน มาวางบนโต๊ะทำงาน จะใช้หินก้อนหรือเป็นแท่งๆก็ได้
จะช่วยบำบัดสถานที่ต่างๆ ที่วุ่นวายให้สงบลงได้

คนเกิดวันพุธ
มีปัญหากับเจ้านายควรถือเคล็ดด้วยการวางข้าวของเครื่องใช้ที่มีปลายแหลมและมีสี
ทองไว้บนโต๊ะทำงาน จะเป็นนาฬิกาตั้งโต๊ะหรือถ้วยรางวัลอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
จะเสริมความเข้มแข็งมั่นคงให้กับสถานภาพการงานของคุณมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานควร
จะใช้ถ้วยแก้วปากกว้าง 1 ใบ ใส่หินอเมทิสต์เอาไว้อย่างน้อย 3-4 ก้อน
หรือมากกว่าจะช่วยขจัดปัญหาทั้งกับเพื่อนร่วมงานที่อิจฉาริษยาขัดแย้งกับคุณไปจน
ถึงการบำบัดสถานที่ จะช่วยให้ความระส่ำระสายยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้นในที่ทำงานคลายความยุ่งยากลง
ผู้คนที่อยุ่ร่วมกันก็มีจิตใจสงบดีขึ้น

คนเกิดวันพฤหัส
มีปัญหากับเจ้านายควรนำรูปปั้น เช่น รูปปั้นนางฟ้ามีปีก หรือเทวรูปบางอย่าง
เช่น พระพิฆเนศ มาวางบนโต๊ะทำงาน จะช่วยเสริมดวงชะตาให้มั่นคง กล้าแข็ง เจ้านายเกรงอกเกรงใจ
มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานควรใช้แจกันดอกไม้สีเหลืองหรือขวดแก้วทรง
สูงปักดอกไม้สีเหลืองมาวางบนโต๊ะทำงานหรือชั้นวางของข้างหลังที่นั่ง
จะช่วยขจัดปัญหาเรื่องอิจฉาริษยาขัดแย้งกับคุณได้ที่ทำงานวุ่นวาย
ถ้าต้องการการบำบัดสถานที่ทำงานให้คลายความยุ่งยากยุ่งเหยิง ควรจะติดภาพวิวทิวทัศน์
ที่มีต้นไม้เขียวสด และมีถนนทอดยาวสุดสายตาเอาไว้เบื้องหลังที่นั่งของคุณเพื่อเสริม
ดวงชะตาและแก้ปัญหาด้านนี้

คนเกิดวันศุกร์
มีปัญหากับเจ้านายควรพกหินลาพิสลาชูรีติดตัวหรือสวมใส่เป็นเครื่อง
ประดับอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ให้บ่อยครั้งในช่วงนั้น
จะเสริมอำนาจบารมีและความเมตตาจากเจ้านายได้มีปัญหากับเพื่อนร่วม
งานควรนำสิ่งของเครื่องใช้อะไรก็ได้ที่มีเสียงเพลงร่วมด้วยมาวางบนโต๊ะทำงาน
เช่น วิทยุ กล่องดนตรี หรือการ์ดเสียงเพลง คลื่นพลังของเสียงจะ
ช่วยขจัดความยุ่งเหยิงวุ่นวายต่างๆรวมทั้งทำให้เราจิตใจเย็นลงอยู่ในความสงบ
และมองโลกในแง่ดีขึ้นด้วย วิธีนี้ยังช่วยขจัดปัญหาและความวุ่นวาย
ยุ่งเหยิง ด้านสถานที่ทำงานด้วย

คนเกิดวันเสาร์
มีปัญหากับเจ้านายควรเสริมดวงชะตาด้วยการวางโคมไฟ 1 ดวง ไว้บนโต๊ะ
ทำงาน และเปิดให้มีแสงสว่างอยุ่ตลอดเวลา
จะแก้เคล็ดเสริมดวงชะตาที่มีปัญหากับผู้ที่เหนือกว่าได้มีปัญหากับ
เพื่อนร่วมงานหากเพื่อนร่วมงานอิจฉาริษายาหรือไม่ลงรอยกันบ่อยครั้ง
ควรวางหินคริสตัลควอตซ์ที่เป็นแท่งๆไว้บนโต๊ะทำงานจะเสริมให้จิตใจ
และอารมณ์เย็นลง เพื่อนร่วมงานเชื่อมั่น
เชื่อถือที่ทำงานวุ่นวายหากต้องการขจัดปัญหายุ่งยากยุ่งเหยิงในที่
ทำงานก็ควรใช้น้ำรินน้ำไหลหรือน้ำผุด ขนาดพอดีๆมาวางเสริมในห้องทำงานหรือข้างโต๊ะทำงาน
ของคุณ จะช่วยให้ภายในสถานที่ทำงานเกิดการถ่ายเท เกิดการเปลี่ยนแปลงไปใน
ทางที่ดี ไม่วุ่นวายเคร่งเครียดอย่างที่เป็นอยู่ ปล. สำหรับคนเกิดวันพุธและวัน
ศุกร์ ไม่ต้องแก้ไขเรื่องที่ทำงานวุ่นวาย เพราะจะคลี่คลายไปในที่สุด

สิ่งที่ควรปฎิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว


สิ่งที่ควรปฎิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว

ก่อนการเกิดแผ่นดินไหว
1. ควรมีไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย และกระเป๋ายาเตรียมไว้ในบ้าน และให้ทุกคนทราบว่าอยู่ที่ไหน
2. ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
3. ควรมีเครื่องมือดับเพลิงไว้ในบ้าน เช่น เครื่องดับเพลิง ถุงทราย เป็นต้น
4. ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดน้ำ วาล์วปิดก๊าซ สะพานไฟฟ้า สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า
5. อย่าวางสิ่งของหนักบนชั้น หรือหิ้งสูง ๆ เมื่อแผ่นดินไหวอาจตกลงมาเป็นอันตรายได้
6. ผูกเครื่องใช้หนัก ๆ ให้แน่นกับพื้นผนังบ้าน
7. ควรมีการวางแผนเรื่องจุดนัดหมาย ในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมารวมกันอีกครั้ง ในภายหลัง
8. สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว

ระหว่างเกิดแผ่นดินไหว
1. อย่าตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบ ถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้าน เพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งเข้าออกจากบ้าน
2. ถ้าอยู่ในบ้านให้ยืนหรือมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนัก ได้มาก และให้อยู่ห่างจากประตู ระเบียง และหน้าต่าง
3. หากอยู่ในอาคารสูง ควรตั้งสติให้มั่น และรีบออกจากอาคารโดยเร็ว หนีให้ห่างจากสิ่งที่จะล้มทับได้
4. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้า และสิ่งห้อยแขวนต่าง ๆ ที่ปลอดภัยภายนอกคือที่โล่งแจ้ง
5. อย่าใช้ เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น
6. ถ้าท่านกำลังขับรถให้หยุดรถและอยู่ภายในรถ จนกระทั่งการสั่นสะเทือนจะหยุด
7. ห้ามใช้ลิฟท์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว
8. หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างจากชายฝั่ง เพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง

หลังเกิดแผ่นดินไหว
1. ควรตรวจตัวเองและคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน
2. ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที เพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมาอาคารอาจพังทลายได้
3. ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีเศษแก้ว หรือวัสดุแหลมคมอื่น ๆ และสิ่งหักพังแทง
4. ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟหรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว
5. ตรวจสอบว่า แก๊สรั่ว ด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่นให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน
6. ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาด และวัสดุสายไฟพาดถึง
7. เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ นอกจากจำเป็นจริง ๆ
8. สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วม และท่อน้ำทิ้งก่อนใช้
9. อย่าเป็นไทยมุงหรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูง หรืออาคารพัง
10. อย่าแพร่ข่าวลือ

แหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีทำความสะอาด

--------------------------------------------------------------

เป็นเกร็ดความรู้ อ่านแบบสบายๆเป็นตอนๆ อ่านเยอะเดี๋ยวตาลาย ^^

--------------------------------------------------------------



วิธีทำความสะอาดคนโทแก้วที่เอามือล้วงลงไปทำความสะอาดยาก

วิธีทำความสะอาดคนโทแก้วที่เอามือล้วงลงไปทำความสะอาดยากให้ทุบเปลือกไข่ใส่ลง ไป แล้วกรอกน้ำส้มสายชูตามลงไปเล็กน้อยเขย่าขวดแล้วแช่ทิ้งไว้สักครู่ เทเปลือกไข่ ออก ล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกที คนโทแก้วจะมองดูสะอาดหมดจดแล้วยังปราศจากกลิ่นอีกด้วย




วิธีทำความสะอาดกะละมังที่เปื้อนคราบด่างทับทิม

วิธีทำความสะอาดกะละมังที่เปื้อนคราบด่างทับทิม ให้ใช้เปลือกมะนาวเช็ด เพราะเปลือก มะนาวจะดูดและดึงคราบสีของด่างทับทิมออกไป




วิธีทำความสะอาดรอยเปื้อนบนโทรศัพท์ที่มีสีขาว

วิธีทำความสะอาดรอยเปื้อนบนโทรศัพท์ที่มีสีขาว มีวิธีง่ายๆคือ ใช้ผ้าชุบน้ำยาล้างเล็บเช็ดถู ให้ทั่วคราบฝุ่นและรอยเปื้อนต่างๆ ก็จะหายไป




วิธีการขจัดขนสุนัขออกจากพรม
วิธีการขจัดขนสุนัขออกจากพรม มีวิธีทำง่ายๆ คือ ใช้ฟองน้ำ ชุบน้ำบิดพอหมาดๆ มาซับ จะสามารถซับขนสุนัขออกได้โดยง่าย




วิธีการทำความสะอาดตู้ปลาหรืออ่างปลา

วิธีการทำความสะอาดตู้ปลาหรืออ่างปลาใช้ฟองน้ำชุบเกลือป่นเช็ดถูให้ทั่ว เพราะ เกลือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคที่ติดอยู่ในตู้หรืออ่างปลา และทำให้ตู้ปลาสะอาดหมดจด อีกด้วย




วิธีการทำความสะอาดคราบไขมันที่เปรอะเปื้อนจานและภาชนะในครัว

วิธีการทำความสะอาดคราบไขมันที่เปรอะเปื้อนจานชาม หม้อ และภาชนะในครัว ให้ ล้างด้วยน้ำอุ่นกับน้ำยาล้างจาน จะทำให้การล้างเป็นไปได้ง่ายขึ้น



วิธีการทำความสะอาดกรอบรูปที่ปิดทอง

วิธีการทำความสะอาดกรอบรูปที่ปิดทอง ควรใช้ผ้าแห้งเช็ดฝุ่นให้ออกก็พอแล้ว เพราะ ถ้าใช้ผ้าชุบน้ำจะทำให้ทองที่ปิดอยู่ลอกออกหมด




วิธีทำความสะอาดคราบราที่ติดอยู่บนหนังสัตว์

วิธีทำความสะอาดคราบราที่ติดอยู่บนหนังสัตว์ที่ประดับตกแต่งบ้านเรือน ให้ใช้ผ้านุ่มๆ จุ่มแอลกอฮอลล์ผสมน้ำเช็ดให้ทั่วแล้วตากไว้ในที่ร่ม รอยเปื้อนคราบนหนังสัตว์จะหายไป




วิธีทำความสะอาดคราบเขม่า

วิธีทำความสะอาดคราบเขม่า หรือคราบควันไฟที่ติดอยู่หน้าเตาไฟ ให้ใช้ผ้าชุบน้ำส้ม สายชูที่ต้มพอร้อน เช็ดถูตามคราบเปื้อนให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกครั้งคราบสกปรก นั้นๆ ก็จะออกไป




วิธีขจัดกลิ่นลูกเหม็นที่ติดเสื้อผ้า


วิธีขจัดกลิ่นลูกเหม็นที่ติดเสื้อผ้า มีวิธีทำง่ายๆ คือ นำเสื้อนั้นไปพรมน้ำให้แค่ชุ่มพอ แล้วนำเสื้อไปแขวนไว้ในที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพียงชั่วข้ามคืนเดียว กลิ่นลูกเหม็น ที่ติดอยู่กับเสื้อผ้าก็จะจางหายไปหมด

ระวัง กาแฟ หรือยาพิษ

หากพูดถึงกาแฟ บางคนอาจไม่ตกใจอะไร เพราะกาแฟเป็นเครื่องดื่มประจำมื้อช้าว เที่ยง เย็น หรือดึกของใครบางคน และอีกอย่างกาแฟยังมีสารชนิดหนึ่งที่ทำให้ไม่ง่วง สารชนิดนั้นก็คือ....คาเฟอีนนั่นเอง

คาเฟอีน (Caffeine) เป็นสารแซนทีนอัลคาลอยด์ ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดได้แก่ เมล็ดกาแฟ,ชา,ผลโคล่า คาเฟอีนถือว่าเป็นยากำจัดศัตรูพืชโดยธรรมชาติ เพราะมันออกฤทธิ์ทำให้อัมพาต และสามารถฆ่าแมลงบางชนิดได้ คาเฟอีนยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัวและลดความง่วงได้ เครื่องดื่มหลายชนิดมีคาเฟอีนเป็นส่วนผสม เช่นในกาแฟ น้ำชา น้ำอัดลม รวมทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นประสาทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก

แหล่งของคาเฟอีน
เมล็ดกาแฟจัดเป็นพืชที่เป็นแหล่งของคาเฟอีนที่ใหญ่ที่สุด ปริมาณคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองประการ คือชนิดของเมล็ดกาแฟที่เป็นแหล่งผลิต และกรรมวิธีในการเตรียมกาแฟ เช่น เมล็ดกาแฟที่คั่วจนเป็นสีเข้มจะมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าเมล็ดที่คั่วไม่นาน เนื่องจากคาเฟอีนสามารถสลายตัวไปได้ระหว่างการคั่ว และกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟพันธุ์โรบัสตา เป็นต้น โดยทั่วไปกาแฟเอสเปรสโซจากเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิกาจะมีคาเฟอีนประมาณ 40 มิลลิกรัม นอกจากนี้ในเมล็ดกาแฟยังพบอนุพันธุ์ของคาเฟอีน คือธีโอฟิลลิน (Theophyllin) ในปริมาณเล็กน้อยอีกด้วย

ใบชายังเป็นแหล่งของคาเฟอีนที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง พบว่าจะมีคาเฟอีนอยู่ครึ่งหนึ่งของกาแฟในปริมาณเดียวกัน แต่จะมีปริมาณของธีโอฟิลลินอยู่มาก และพบอนุพันธุ์อีกชนิดของคาเฟอีน คือธีโอโบรมีน (Theobromine) อยู่เล็กน้อยด้วย ชนิดของใบชาและกระบวนวิธีการเตรียมก็เป็นปัจจัยสำคัญของคาเฟอีนในน้ำชาเช่นเดียวกับในกาแฟ เช่นในชาดำและชาอูหลงจะมีคาเฟอีนมากกว่าในชาชนิดอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สีของน้ำชาไม่ได้เป็นลักษณะบ่งชี้ถึงปริมาณคาเฟอีนในน้ำชา เช่นในชาเขียวญี่ปุ่นซึ่งจะมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่าชาดำบางชนิดช็อคโกแลตซึ่งผลิตมาจากเมล็ดโกโก้ก็เป็นแหล่งของคาเฟอีนเช่นเดียวกัน แต่ในปริมาณที่น้อยกว่าเมล็ดกาแฟและใบชา แต่เนื่องจากในเมล็ดโกโก้มีสารธีโอฟิลลินและธีโอโบรมีนอยู่มาก จึงมีฤทธิ์อ่อนๆในการกระตุ้นประสาท อย่างไรก็ตาม ปริมาณของสารดังกล่าวนี้ก็ยังน้อยเกินไปที่จะให้เกิดผลกระตุ้นประสาทเช่นเดียวกับกาแฟในปริมาณที่เท่ากันน้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังเป็นเครื่องดื่มที่พบคาเฟอีนได้มากเช่นเดียวกัน น้ำอัดลมทั่วไปจะมีคาเฟอีนประมาณ 10-50 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ขณะที่เครื่องดื่มชูกำลัง เช่นกระทิงแดง จะมีคาเฟอีนอยู่มากถึง 80 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค คาเฟอีนที่ผสมอยู่ในเครื่องดื่มเหล่านี้อาจมาจากพืชที่เป็นแหล่งผลิต แต่ส่วนใหญ่จะได้จากคาเฟอีนที่สกัดออกระหว่างการผลิตกาแฟพร่องคาเฟอีน (decaffeinated coffee)


สถานะทางเคมี
คาเฟอีน เป็นสารอัลคาลอยด์ซึ่งจัดอยู่ในตระกูล เมทิลแซนทีน ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันกับสารประกอบ ธีโอฟิลลิน และ ธีโอโบรมีน ในสถานะบริสุทธิ์ จะมีสีขาวเป็นผง และมีรสขมจัด สูตรทางเคมีคือ C8H10N4O2,


เมแทบอลิซึมและเภสัชวิทยา
คาเฟอีนจัดเป็นสารกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและเมแทบอลิซึมหรือกลไกการเผาผลาญสารอาห
ารในร่างกาย เพื่อลดความง่วง ความเหนื่อยล้า และจะส่งผลกระตุ้นเส้นประสาท โดยมีการปล่อยโปรแตสเซียมและแคลเซียม เข้าสู่เซลล์ประสาท เพิ่มการตื่นตัวของร่างกาย โดยในระบบประสาท คาเฟอีนจะไปกระตุ้นการทำงานในระดับสูงของสมอง เพื่อเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า ทำให้กลไกการคิดรวดเร็วและมีสมาธิมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ร่างกายมีกระบวนการต่างๆในการแปรรูปคาเฟอีนที่ได้รับมาเป็นสารอนุพันธุ์ชนิดอื่นซึ่ง
มีฤทธิ์ต่างๆกัน ซึ่งกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป


เมแทบอลิซึม

คาเฟอีนถูกแปรสภาพโดนเอนไซม์ในตับ ได้เป็นอนุพันธุ์ของคาเฟอีนสามชนิด คือ พาราแซนทีน (84%), ธีโอโบรมีน (12%), and ธีโอฟิลลิน (4%)คาเฟอีนจะถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กภายใน 45 นาทีหลังจากการบริโภค หลังจากนั้นจะถูกนำเข้ากระแสเลือดและลำเลียงไปทั่วร่างกาย ครึ่งชีวิตของคาเฟอีนในร่างกาย หรือเวลาที่ร่างกายใช้ในการกำจัดคาเฟอีนในปริมาณครึ่งหนึ่งของที่บริโภค จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลโดยมีปัจจัยต่างๆ เช่นอายุ ระดับการทำงานของตับ ภาวะตั้งครรภ์และการใช้ยาอื่นร่วมด้วย ในผู้ใหญ่ปกติจะมีครึ่งชีวิตของคาเฟอีนประมาณ 3-4 ชั่วโมง ในขณะที่หญิงที่ทานยาคุมกำเนิดและหญิงตั้งครรภ์อาจมีครึ่งชีวิตของคาเฟอีนประมาณ 5-10 ชั่วโมง และ 9-11 ชั่วโมง .ตามลำดับ ในผู้ป่วยโรคตับระยะรุนแรง อาจมีการสะสมของคาเฟอีนในร่างกายได้นานถึง 96 ชั่วโมง.สำหรับในทารกและเด็กจะมีครึ่งชีวิตของคาเฟอีนที่นานกว่าผู้ใหญ่ พบว่าในทารกแรกเกิดจะมีครึ่งชีวิตของคาเฟอีนประมาณ 30 ชั่วโมง คาเฟอีนจะถูกเปลี่ยนแปลงสภาพที่ตับ โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ ไซโตโครม พี 450 ออกซิเดส (Cytochrome P450 oxidase) ซึ่งเอนไซม์นี้จะเปลี่ยนคาเฟอีนให้เป็นอนุพันธุ์สามชนิด คือ

พาราแซนทีน (Paraxanthine) มีผลในการสลายไขมัน เพิ่มปริมาณของกลีเซอรอลและกรดไขมันในกระแสเลือด
ธีโอโบรมีน (Theobromine) มีผลในการขยายหลอดเลือด และเพิ่มปริมาณของปัสสาวะ
ธีโอฟิลลิน (Theophylline) มีผลทำให้กล้ามเนื้อเรียบที่อยู่ล้อมรอบหลอดลมปอดคลายตัว จึงทำให้หลอดลมขยายตัวมากขึ้น
อนุพันธุ์ทั้งสามชนิดนี้จะถูกแปรสภาพต่อไป และขับออกทางปัสสาวะในที่สุด


การออกฤทธิ์

เนื่องจากคาเฟอีนเป็นสารในกลุ่มแซนทีนแอลคาลอยด์ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับแอดิโนซีน (Adenosine) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งในสมอง โมเลกุลของคาเฟอีนจึงสามารถจับกับตัวรับแอดิโนซีน (adenosine receptor) ในสมองและยับยั้งการทำงานของแอดิโนซีนได้ ผลโดยรวมคือทำให้มีการเพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทโดปามีน (dopamine) ซึ่งทำให้สมองเกิดการตื่นตัว นอกจากนี้พบว่าอาจจะมีการเพิ่มปริมาณของซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ของผู้บริโภค ทำให้รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาเฟอีนมิได้ลดความต้องการนอนหลับของสมอง เพียงแต่ลดความรู้สึกเหนื่อยล้าลงเท่านั้น

อย่างไรก็ดี สมองจะมีการตอบสนองต่อคาเฟอีนโดยการเพิ่มปริมาณของตัวรับแอดิโนซีน ทำให้ฤทธิ์ของคาเฟอีนในการบริโภคครั้งต่อไปลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่าภาวะทนต่อคาเฟอีน (caffeine tolerance)และทำให้ผู้บริโภคต้องการคาเฟอีนมากขึ้นเพื่อให้เกิดผลต่อร่างกาย ผลอีกประการที่เกิดจากการที่สมองเพิ่มปริมาณของตัวรับแอดิโนซีน นั่นคือทำให้ร่างกายไวต่อปริมาณแอดิโนซีนที่ผลิตตามปกติมากขึ้น เมื่อหยุดการบริโภคคาเฟอีนในทันที จะทำให้เกิดผลข้างเคียงคืออาการปวดศีรษะและรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ร่างกายตอบสนองต่อแอดิโนซีนมากเกินไปนั่นเอง นอกจากนี้ ในผู้ที่หยุดบริโภคคาเฟอีนจะทำให้ปริมาณของโดปามีนและซีโรโทนินลดลงในทันที ส่งผลให้สูญเสียสมาธิและความตั้งใจ รวมทั้งอาจเกิดอาการซึมเศร้าอย่างอ่อนๆได้ อาการดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นประมาณ 12-24 ชั่วโมงหลังจากการหยุดบริโภคคาเฟอีน แต่จะหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน อาการของการอดคาเฟอีนดังกล่าวสามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยาแอสไพริน หรือการได้รับคาเฟอีนในปริมาณน้อย


ภาวะเสพติดคาเฟอีน และภาวะพิษคาเฟอีน
การบริโภคคาเฟอีนปริมาณมากเป็นเวลานาน อาจนำไปสู่ภาวะเสพติดคาเฟอีน (caffeinism) ซึ่งจะปรากฏอาการต่างๆทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เช่น กระสับกระส่าย วิตกกังวล กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น เป็นต้น นอกจากนี้การบริโภคคาเฟอีนเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กอักเสบ และโรคน้ำย่อยไหลย้อนกลับ (gastroesophageal reflux disease) ในผู้ที่บริโภคคาเฟอีนปริมาณมากๆในเวลาเดียว (มากกว่า 400 มิลลิกรัม) อาจทำให้ระบบประสาทส่วนกลางถูกกระตุ้นมากเกินไป ภาวะนี้เรียกว่าภาวะพิษคาเฟอีน (caffeine intoxication) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ความคิดและการพูดสับสน หน้าแดง ปัสสาวะมากผิดปกติ ปวดท้อง หัวใจเต้นแรง ในกรณีที่ได้รับในปริมาณสูงมาก (150-200 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักร่างกาย 1 กิโลกรัม) อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ การรักษาผู้ที่เกิดภาวะพิษคาเฟอีนโดยทั่วไปจะเป็นการรักษาตามอาการที่เกิด แต่หากผู้ป่วยมีปริมาณคาเฟอีนในเลือดสูงมาก อาจต้องได้รับการล้างท้องหรือฟอกเลือด



พิษของคาเฟอีน มีฤทธิ์ถึงฆ่าแมลงให้ตายได้

ภัยใกล้ตัว!!! ภูมิแพ้และปัญหาไรฝุ่น

แทบทุกท่านคงเคยได้ยิน ความสัมพันธ์ของไรฝุ่น กับภูมิแพ้ หลาย ๆ ท่านอยากทราบว่า จะป้องกันอย่างไร มีประโยชน์หรือไม่

ไรฝุ่นบ้าน house dust mite เป็นแมลงที่อยู่อาศัยปะปนกับฝุ่น ในบริเวณที่แสงส่องไม่ถึง ชอบความชื้น ไม่ทนต่อความแห้ง อาศัยขี้ไคล รังแค เป็นอาหาร ส่วนใหญ่ในบ้านเรือน จะอยู่ตาม ที่นอน หมอน เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ตุ๊กตา ขยายพันธ์ได้รวดเร็ว ถ้าอุณหภูมิเเหมาะสมเช่น 25 องศา และความชื้นเหมาะ ร้อยละ 70-80 ขยายพันธ์เร็ว และออกไข่มาก ทั้งตัวมันและมูล มีโปรตีนในการก่อภูมิแพ้สูง ถ้าเรียงตามลำดับการก่อการแพ้ จะได้แก่ มูล ตัวแก่ ตัวอ่อน ไข่


การหลีกเลี่ยงไรฝุ่น จะทำให้การแพ้ลดลง จากมาตรฐาน การมีไรฝุ่นมากกว่า 2 ไมโครกรัมต่อกรัมฝุ่น จะก่อให้เกิดแพ้ และในปริมาณ 10 ไมโครกรัมต่อกรัมฝุ่น จะทำให้เกิดการจับหืดเฉียบพลัน


วิธีดีที่สุดในการป้องกัน คือการใช้วัสดุคลุม โดยเฉพาะผ้าทอแน่น ปัจจุบัน มีหลายชนิด เช่น พลาสติก หรือเคลือบด้วยยูรีเทน ซึ่งนอนไม่สบาย รองลงมาคือผ้าทอแน่น( tightly woven)ซึ่งยอมให้อากาศถ่ายเทได้บ้าง อีกชนิด ราคาถูกหน่อย ทำจากใยอัดแน่น ประเภทโพลีเอธีลิน ไม่ได้ทอทำให้เส้นใยสานกันยุ่งเหยิง ซึ่งมักระบุว่าป้องกันน้ำได้ และไม่แนะนำให้ซัก


วัสดุที่นำมา ต้องดูที่รูห่าง ถ้าน้อยกว่า 6 ไมครอน จะป้องกันได้ดีที่สุด และเมื่อดูในแง่เนื้อผ้า พบว่า ผ้าทอแน่น ดีกว่าเพราะสามารถซักได้และไม่เก็บไรฝุ่นในตัวเท่าไร เนื่องจากไรไม่สามารถเจาะแทรกได้


ข้อมูล สมาคมอิมมูโนวิทยาและภูมิแพ้แห่งประเทศไทย


โรคแพ้อากาศ


โรคแพ้อากาศ เป็นโรคแพ้อย่างหนึ่งที่พบมากในบ้านเรา เนื้อหาสั้น ๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบภูมิแพ้ รพ.กรุงเทพครับ

โรคภูมิแพ้อากาส เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ


อาการเด่น


คันจมูก คันตา น้ำมูกใส จามบ่อย ๆ แน่นจมูก รู้สึกแน่นจมูกเช้า บางครั้งเจ็บคอเช้า ๆ

สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย


ฝุ่น นุ่น ซากแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอนในบ้าน ขนสัตว์ เชื้อราในอากาศเชื่อว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ โดยพบว่า ถ้าพ่อแม่เป็น ลูกมีโอกาสที่จะเป็นด้วยถึง 75 %

สิ่งกระตุ้นให้โรคเป็นมาก คือการได้รับสัมผัส การเปลี่ยนแปลงของอากาศ สุขภาพอ่อนแอ ความเครียด


อาการที่พบร่วมบ่อย


อาจพบ หอบหืด ลมพิษ แพ้อาหาร คันตา ตาอักเสบ ร่วมกัน


การดูแลรักษา


การดูแลตนเอง
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน
รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ
หลีกเลี่ยงความเครียด
ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ควรใช้ยาเอง

การดูแลสิ่งแวดล้อม

1. กำจัดฝุ่นละอองและตัวไรในห้องนอน

ทำความสะอาดห้องนอนทุกวัน
จัดห้องนอนให้โล่ง มีเครื่องตกแต่งน้อยชิ้นที่สุด
หลีกเลี่ยงวัสดุที่ทำจากขนสัตว์ นุ่น
หลีกเลี่ยงการใช้พรม
ที่นอน หมอน ควรนำออกตากแดดทุกสัปดาห์
ผ้าคลุมที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม มุ้ง ผ้าคลุมเตียง ควรทำความสะอาดอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง
เก็บหนังสือและเสื้อผ้า ในตู้ที่ปิดมิดชิด
ใช้วัสดุที่เป็นใยสังเคราะห์ หรือฟองน้ำ

2. กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ และแมลงอื่น ๆในบ้าน

3. ลดปริมาณละอองเกสรดอกไม้ หญ้า

หลีกเลี่ยงการนำดอกไม้สด หรือต้นไม้ไว้ในบ้าน ตัดหญ้าและวัชพืชออก

4. ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดหรือนำสัตว์เลี้ยงมาใว้ในบ้าน

5. กำจัดเชื้อรา

อย่าให้เกิดความชื้นหรืออับทึบ กำจัดแหล่งเชื้อรา เช่น ห้องน้ำ กระถางต้นไม้ ห้องครัว

5 สูตรสวยด้วยเกลือ

ทราบหรือไม่ว่า เกลือก็สามารถทำให้สวยได้ วันนี้มีสูตรสวยด้วยเกลือมาฝากกัน...



1. ลดรอยช้ำรอบดวงตา

ผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำร้อนครึ่งถ้วย จากนั้นใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือมาปิดตาไว้สัก 5-10 นาที รอยช้ำรอบดวงตาจะค่อยๆจางลง

2. หน้ามันน้อยลง

ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนพอหมาดมาปิดหน้าไว้สัก 3-5 นาที เพื่อช่วยเปิดรูขุมขนก่อน ต่อจากนั้นใส่น้ำลงในขวดสเปรย์ เติมเกลือลงไป 1 ช้อนชา เขย่า ให้เกลือละลายแล้วฉีดเกลือใส่หน้าให้ทั่ว แล้วใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง

3. เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิว

ผสมเกลือ 1/2 ถ้วยลงในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเช็ดตัวให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงผิวซ้ำ เกลือจะช่วยให้ผิวชุ่มชื่นยิ่งขึ้น

4. ขัดผิวให้สวยใส

โดยใช้เกลือผงถูตัวแล้วใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูขัดตัวให้ทั่วช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตา
ยแล้วหลุดออกมา ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายด้วย

5. ผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าที่เท้า

ผสมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่น นั่งแช่เท้าประมาณ 30 นาที วิธีนี้เหมาะกับคนที่เดินนาน ๆ รวมทั้งสาว ๆ ที่ต้องใส่ส้นสูงตลอดวัน

รู้อย่างนี้แล้ว ลองนำเกลือมาทำตามวิธีที่แนะนำกันดูได้.


.........................................

หมอจีนรู้อะไรจากประจำเดือน

ผมชอบคนไข้ผู้หญิงครับ เอิ่ม นี่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเป็นหมอโรคจิตหรอกนะครับ โปรดอย่าพึ่งเข้าใจผิด ที่พูดเช่นนี้เพราะนอกจากผมจะมีความชื่นชอบในตัวสาวๆเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สาเหตุหลักจริงๆแล้วคือ เพราะร่างกายของผู้หญิงมีข้อมูลที่ช่วยให้ผมรับรู้การทำงานของตับไตไส้พุง ได้ชัดเจนกว่าผู้ชาย ซึ่งจะง่ายต่อการวินิจฉัยและรักษาอย่างมาก และนั่นก็คือ ประจำเดือน นี่เองครับ อาจจะไม่เชื่อเลยก็ได้ว่าผมรู้ข้อมูลของร่างกายคุณมากมายแค่ไหนผ่านประจำเดือนของคุณผู้หญิง วันนี้เลยจะมาเล่าให้ฟังกันครับว่าทำไมหมอจีนถึงชอบถามถึงประจำเดือน แถมถามละเอียดลงลึกถึงขั้นสี ปริมาณ ก้อนเลือด รอบเดือนช้าเร็ว ทั้งๆที่ชั้นไม่ได้มาหาหมอเพราะเรื่องนี้ซักหน่อย ก็ขอวอนอย่าพึ่งเข้าใจผิดคิดว่าหมอลามกนะครับ ผู้หญิงมีความสัมพันธ์กับเลือดมาก เพราะต่างก็เป็นธาตุหยิน ( ธาตุเย็น) ทั้งคู่ ขณะเดียวกันพื้นฐานร่างกายของผู้หญิงก็มีความสัมพันธ์อวัยวะตับในทางแพทย์จีนอย่างแน่นแฟ้นเพราะ

1. ตับเป็นอวัยวะที่กักเก็บเลือดไว้ ก่อนจะปล่อยไปให้อวัยวะอื่นๆใช้งาน
2. เส้นลมปราณตับเดินผ่านอวัยวะเพศ และหน้าอก
3. ตับเป็นตัวควบคุมการเดินของลมปราณในร่างกายให้คล่องตัว รวมไปถึงอารมณ์ต่างๆด้วย เมื่อทำความเข้าใจตรงนี้ได้แล้วต่อไปก็จะอ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าเดิมครับ
คราวนี้เรามาไล่ดูกันครับว่า สี ปริมาณ ก้อนเลือด รอบเดือนช้าเร็ว ทำให้หมอจีนรู้อะไรบ้าง

สีของเลือดประจำเดือน

สีแดงเข้ม
มักจะเป็นคนที่ร้อนในครับ คิดสภาพว่าไฟมันร้อนเลือดเลยสีเข้ม เหนียวข้น คุณมักจะหิวน้ำ ท้องผูก หงุดหงิดง่าย

สีแดงซีด
คือคนที่ขาดเลือดครับ ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นโรคโลหิตจางนะครับ ไปตรวจปริมาณเม็ดเลือดอาจจะยังปกติไม่มีปัญหา คุณมักจะเป็นคนไม่มีแรงครับ หน้าซีด เล็บซีด ปากซีด เวียนศีรษะ หลงลืมง่าย นอนไม่หลับ

สีแดงคล้ำ
คือคนที่มีเลือดคั่งอยู่ข้างในครับ ส่วนใหญ่ประจำเดือนสีนี้มักจะมีลิ่มเลือดออกมาด้วยเสมอ สีประจำเดือนแบบนี้เกิดได้หลายสาเหตุครับ คุณอาจจะเป็นคนขี้หนาว หรืออยู่ในห้องเย็นๆเป็นประจำ หรืออาจจะเป็นคนที่เครียดมาก เครียดบ่อย

ปริมาณของเลือดประจำเดือน

ควรจะดูประกอบกับสีด้วยจะบอกข้อมูลได้ชัดเจนขึ้นไปอีกครับ

ประจำเดือนมาน้อย + สีแดงซีด เลือดน้อยจนไม่มีเลือดจะให้เสียแล้ว มักมีอาการปวดท้องประจำเดือนด้วย

ประจำเดือนมาน้อย + สีแดงคล้ำ เลือดคั่งอุดทางเดินประจำเดือน ทำให้เหมือนประจำเดือนมาน้อย แต่ที่จริงแล้วคั่งอยู่ข้างในออกไม่ได้ต่างหาก รายการนี้ก็มักปวดท้องประจำเดือนด้วยเช่นกัน แต่ถ้าเกิดประจำเดือนมาคล่อง หรือก้อนเลือดหลุดออกมาแล้วก็จะหายปวด

ประจำเดือนมามาก + สีแดงเข้ม เกิดจากความร้อนครับ ที่มามากก็เพราะความร้อนมันขับดันให้เลือดเดินไว เดินเยอะ

ประจำเดือนมามาก + สีแดงซีด อันนี้เป็นเพราะร่างกายขาดลมปราณครับ ลมปราณเป็นตัวควบคุม นำทางให้เลือดเดินไปในทางที่มันควรจะไป เมื่อลมปราณพร่องแล้ว เลือดก็ไม่มีตัวควบคุม ไหลตามใจฉัน แล้วเมื่อเลือดไหลออกไปเรื่อยๆ ลมปราณก็จะยิ่งพร่องเพราะขาดเลือดหล่อเลี้ยง สุดท้ายเกิดเป็นวงจรอุบาทว์แย่ลงไปเรื่อยๆ คุณจะมีอาการอ่อนเพลียง่าย ไม่มีแรง วิงเวียนศีรษะ ไม่อยากอาหาร

ประจำเดือนมามาก + สีแดงคล้ำ ก็คือมีเลือดคั่งอยู่ครับ ประจำเดือนกระปิดกระปอยมาไม่หยุด แบ่งได้สองกรณีคือ ลมปราณพร่อง
สีของเลือดจะซีด อีกประเภทคือเลือดร้อน สีของเลือดจะสดครับ

ก้อนเลือดและลิ่มเลือด

บางคนประจำเดือนมาทีเป็นก้อนๆครับ มักมีอาการปวดประจำเดือนร่วมด้วย บางคนเหมือนมีเศษเนื้อหลุดออกมาด้วยเลย พอก้อนเลือดหรือเศษเนื้อหลุดออกมาแล้วประจำเดือนมักจะหายปวดครับ ก้อนเลือดและลิ่มเลือดก็คือเลือดคั่ง เลือดเดินไม่สะดวก เกิดได้หลายสาเหตุ แต่หลักๆมีอยู่สองอย่างคือ อารมณ์เสีย และ พิษเย็นครับ

รอบเดือนไม่ปกติ

รอบเดือนมาก่อนเวลา มีได้หลายสาเหตุครับ โดยมากแบ่งออกเป็นสองส่วนคือ เลือดร้อน หรือ ลมปราณพร่อง อาการดูได้จากข้างบน

รอบเดือนชอบมาหลังเวลา เพราะเลือดคั่ง พิษเย็น เลือดน้อยสามสาเหตุหลักๆ สองอันแรกเพราะมันทำให้เลือดไหลเวียนไม่ดี อันหลังเพราะไม่มีเลือดให้ไหลเวียน

การปวดประจำเดือน

การปวดประจำเดือนเป็นอะไรที่ผมสงสารผู้หญิงอย่างสุดซึ้งจริงๆครับ เพราะมันเป็นความปวดที่ทรมาณและน่าหวาดกลัว รู้ทั้งรู้ว่ามันต้องเจ็บทุกเดือนแต่ส่วนใหญ่ก็มักแก้ไขหลีกเลี่ยงอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนโดนต่อยโดนตบที่ยังวิ่งหนีได้ การปวดประจำเดือนแยกคร่าวๆออกมาได้ดังนี้ครับ

ปวดช่วงวันแรกๆ พอมาเยอะขึ้นก็หายปวด มักมีอาการท้องแน่นๆ คัดหน้าอกควบคู่ไปด้วย ให้ถามตัวเองว่าคุณเป็นคนอารมณ์เสียง่ายหรือเปล่า อ๊ะๆ อย่าหลอกตัวเองนะครับ อาการมันฟ้องอยู่ครับ จากที่บอกไปข้างต้นว่าตับเป็นตัวควบคุมเลือดและลมปราณพออารมณ์ไม่ดีลมปราณก็ จะเดินไม่คล่อง ลมปราณไม่เดิน เลือดก็เลยไม่เดินเพราะเหงาขาดเพื่อน อยู่ด้วยกันสองคนอบอุ่นดี แต่คนที่ไม่ดีคือตัวเราเองครับที่ต้องทนปวดประจำเดือนกันต่อไป ที่รพ.จีนทุกปีเวลาเอนทรานซ์จะมีนักเรียนหญิงมาหาหมอเรื่องประจำเดือนตลอด เลยครับ เครียดกันซะ

ปวดหลังจากประจำเดือนจะหมดหรือหมดแล้ว มักจะไม่ปวดรุนแรงมาก จะมีอาการอ่อนเพลียควบคู่ อันนี้เกิดจากเลือดน้อยครับ อารมณ์เดียวกับหัวใจขาดเลือดแล้วจะเจ็บหน้าอก

การปวดประจำเดือนกับความเย็น ถ้าคุณปกติเป็นคนชอบกินน้ำเย็น น้ำแข็ง ไอติมนี่ของโปรด รักการว่ายน้ำ ใส่กระโปรงเปิดเข่าทำงานในห้องแอร์เย็นเจี๊ยบ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้คุณต้องทนทรมาณกับการปวดประจำเดือนหากคุณ ยังไม่รีบแก้ไข นึกภาพง่ายๆหากเอาน้ำไปแช่ช่องฟรีซ น้ำก็จะแข็ง ไม่เคลื่อนไหว ประจำเดือนก็เหมือนกันครับ เลือดไหลเวียนไม่ดีก็ปวดเอาสิครับ เพราะอย่างนี้แหละครับนักกีฬาว่ายน้ำจึงมักมีอาการปวดประจำเดือน

ข้อควรปฎิบัติเกี่ยวกับประจำเดือน

1. อย่าเครียด ลมปราณเดินไม่สะดวกผิดปกติไม่รู้นะเออ

2. อย่ากินของเย็นให้มากนัก

3. ใส่กางเกงไปทำงานเถอะ การที่หัวเข่าตากแอร์เรื่อยๆทำให้ปวดประจำเดือน

4. ปวดประจำเดือนควรกินน้ำอุ่น การประคบท้องน้อยด้วยถุงน้ำร้อนมักจะให้ผลดี ลดการปวดได้

5. ปวดมากก็กินยาแก้ปวดได้ครับ

6. หากคุณเจอตัวเองตรงกับประเภทเลือดน้อย คุณควรกินอาหารพวกบำรุงเลือด เช่น ตับ งาดำ ผักปวยเล้ง หรืออาจจะไปซื้อยาจีนที่ชื่อว่า ตังกุย มาชงชาหรือต้มน้ำแกงกินก็ได้ครับ ไปร้านยาจีนซื้อตังกุยมาสักห่อละห้ากรัม ต้มน้ำสักสิบนาทีให้เหลือน้ำประมาณแก้วน้ำเล็กๆสักใบ กินวันละครั้งครับ ช่วงที่ประจำเดือนมาก็หยุดพักครับ รอจนประจำเดือนหมดก่อนค่อยกินต่อก็ได้

7. พวกเลือดร้อนควรอย่าไปต่อยตีกับใคร ไม่ใช่ละ ควรงดอาหารรสจัด ของทอด ของมัน นม เนย ชีส ทุเรียน ของร้อนในต่างๆครับ

8. พวกเลือดคั่งอาจจะจิบสุราเล็กน้อย ขอย้ำว่าเล็กน้อย อย่าเอาผมเป็นข้ออ้างในการออกไปดริ๊งค์นะครับ จุดประสงค์ก็เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น กลุ่มนี้ก็กินตังกุยได้เหมือนกัน แต่กรุณาอย่าถามนะครับว่าไปกินตังกุยจั๊บได้ไหม เพราะผมยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ใครรู้วานบอก

ทั้งนี้ทั้งนั้น คุณควรจะไปตรวจร่างกายหาสาเหตุที่แท้จริงของประจำเดือนไม่ปกติก่อน ไม่ว่าจะเป็นอัลตร้าซาวน์ด เจาะเลือดวัดฮอร์โมน
ตรวจปัสสาวะว่าท้องหรือเปล่า เป็นต้น ซีสต์ชอกโกแลตทำให้ปวดประจำเดือน มีซีสต์บางที่ก็ทำให้ประจำเดือนไม่มา บางคนไม่ตกไข่ด้วยซ้ำ มะเร็งก็ทำให้ประจำเดือนผิดปกติได้ ถ้าคุณตรวจแล้วไม่พบอะไรที่ต้องสงสัย ถึงเวลานั้นหมอจีนจะมีประโยชน์มากในการรักษาครับ หมอแผนปัจจุบันตอนนี้รักษาประจำเดือนด้วยฮอร์โมนเป็นหลัก แต่หมอจีนใช้ยาจีนในการปรับสมดุลครับ

~~ อาหารอันตราย 10 อันดับ ~~

เราลองมาดูกันว่าสิ่งประกอบที่มีอยู่ในอาหาร 10 อันดับยอดนิยมที่อันตรายต่อสุขภาพนั้นมีอะไรบ้าง

1.แฮมเบอร์เกอร์

จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรมเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุงทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูงทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสีย ทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว การใช้สารเคมีสีแดงย้อมทำให้เนื้อดูสดแฮมเบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะย้อมด้วยสารเคมีสีแดง ยกเว้นแต่จะทำด้วยกรรมวิธีอื่นๆ แฮมเบอร์เกอร์ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ นี่คือสาเหตุว่าทำไมคนอเมริกันถึงได้ดื้อต่อยาปฏิชีวนะ เนื้อบดเป็นเสมือนกับอาหารของคนลี้ภัยอาหารเบอร์เกอร์ทำให้เกิดโรค E-coli ที่ต้องทำการรักษา มากกว่าโรคที่เกิดจากอาหารชนิดอื่น แฮมเบอร์เกอร์เป็นอาหารยิ่งใหญ่รายการเดียวที่ทำให้เกิดความเสียหายและก่อความทุกข์ให้กับอาหารของอเมริกัน...บริการอาหารได้นับพันล้านชุด...ค่าหมอและค่าโรงพยาบาลรักษานับพันล้านเหรียญ....ฮอร์โมนที่ใช้ฉีดวัวควาย ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้ หากท่านบริโภคเนื้อเหล่านั้น ชีสเบอร์เกอร์ ประกอบด้วยไขมันทั้งหมดเกินกว่า 100% ของอาหารไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน เบอร์เกอร์คิง ซ้อนหลายชั้นชุดพิเศษ จะให้พลังงาน 1.150 แคลอรี่ และไขมันรวม 76 กรัม เป็นไขมันอิ่มตัว 33 กรัม และเกลือโซเดียมอีก 1,530 ม.ก.เครื่องปรุงรสของเบอร์เกอร์ พริก กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ล้วนใช้สารก่อมะเร็งจากเกลือเคมีกำมะถันเพื่อควบคุมความสดของผัก เบอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะมีเกลือโซเดียมอยู่ 1,090 ม.ก. (เท่ากับ 45% ของปริมาณที่กำหนดให้ใช้ในแต่ละวัน) ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้


2. ฮอทด็อก


จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะมีมาตรฐานทางด้านสุขภาพต่ำ จากการที่มีการ ทำกันมาขายเป็นอุตสาหกรรมเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำเนื้อมาใช้ปรุง ทำให้มีแบคทีเรียเกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้สารเคมีมาช่วยกำจัด
ฮอทด็อกทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100% ฮอทด็อกทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย ฮอทด็อกจะใส่สารไนไตรท์ ซึ่งเชื่อกันว่า เป็นสารที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ สารเติมช่วยทำให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม อาจเป็นจำพวกธัญญาหาร อาจเป็นนมผงรบกพร่องมันเนย ถั่วเหลืองหรือสารอย่างอื่นก็ได้ ทำให้เพิ่มจำนวนคาร์โบไฮเดรตและกระบวนการในการผลิตด้วย ถุงหลอดที่ใช้บรรจุฮอทด็อกทำจากคอลลาเจนสังเคราะห์ ที่เป็นสารก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่าง มันจะให้สารพิษร้ายแรงที่เรียกว่า อะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อมะเร็งและทำลายประสาท


3. เฟร้นช์ฟราย มันฝรั่งทอด


เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ มันฝรั่งมีดรรชนี กลีซิมิค(Glycemic) อยู่สูงมาก นั่นหมายถึง มันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก การรับประทานมันฝรั่งปิ้งหนึ่งหัว (หรือเฟร้นช์ฟรายในปริมาณเทียบเท่ากัน) จะมีประมาณน้ำตาลเท่ากับรับประทานเค้กช็อคโกเล็ตชิ้นโตๆทีเดียว


4. ออริโอ คุกกี้ คุ๊กกี้ที่ขายดีอันดับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา

ที่เด่นชัดมากก็คือ สัดส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ช็อกโกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก พลังงาน 370 แคลอรี่ที่แทบจะไม่มีสารประกอบของอาหารที่ให้พลังงานอยู่เลย แคลอรี่เทียบได้เท่ากับการรับประทานเนื้ออกของไก่ 2 ชิ้น คุกกี้ 6 ชิ้น จะมีไขมันอยู่ 12 กรัม ไขมันอิ่มตัว 2.5 กรัม คาร์โบไฮเดรต 40 ---หมายถึง คุ๊กกี้แค่ 6 ชิ้น มี จำนวนคาร์โบเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวันเสียอีกออริโอคุกกี้จะเพิ่มความกระหายน้ำตาลให้ท่านได้มากยิ่งขึ้นภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น กลิ่นรสธรรมชาติที่ระบุไว้นั้น เป็นสารเคมีจากทางโรงงานที่ทำให้ออริโอมีรสชาติยังกับคุกกี้ช็อกโกเล็ตจากกระบวนการผลิตชั้นสูง ที่ทำให้ออริโอคุกกี้ได้กลิ่นรสที่ไม่ได้เป็นมาจากธรรมชาติเหล่านั้นที่ไม่มีอะไรเลย
นอกจากสารเคมีที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งบริษัท นาบิสโก ได้ปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfats) ว่า มีอยู่เป็นจำนวนเท่าไหร่ เพียงแต่บอกว่า มีอยู่ในปริมาณที่ยอมรับได้สำหรับอาหารในประเภทนี้ น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น


5. พิซซ่า

พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด
1. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้นที่ไม่ควรจะเรียกว่าเนยแท้ได้เลย
2. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไปใหม่
3. ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน
4. แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
5. มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ้ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆเอาไว้ได้มากที่สุด กระทรวงเกษตรและกระทรวงสาธารณะสุขต่างก็ไม่ให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่า มันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็นน้ำมันไฮโดรจีเนตและมีอันตรายต่อสุขภาพของท่านเป็นอย่างยิ่ง ผิวหน้าแป้งพิซซ่าที่อบปิ้งในอุณหภูมิสูง อาจจะมีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) เกิดขึ้น ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาทได้ การเพิ่มหน้าพิซซ่า เพ็พเปอโรนิหรือเพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจากไนไตรต์ สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเติมเข้าไปจากโรงงาน


6. น้ำอัดลม


สารตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ น้ำโซดาจะเป็นตัวชะล้างแคลเซียมออกจากกระดูกของท่าน ช่วยทำเกิดโรคกระดูกพรุน ในน้ำอัดลมหนึ่งกระป๋อง จะมีน้ำตาลที่ไม่ให้พลังงานอยู่ประมาณ 12 ช้อนชา
ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว (Diet soda) ที่ใช้น้ำตาลเทียมสังเคราะห์ (Artificial sweetener) เพิ่มความหวาน จะทำให้ร่างกายของท่านกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เพราะว่า น้ำตาลสังเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก สีที่ใช้เติมในน้ำอัดลม เป็นสารเคมีก่อมะเร็ง เราเรียกน้ำอัดลมนี้ว่า น้ำตาลเหลว เพราะมันมีน้ำตาลประกอบอยู่สูง การดื่มน้ำอัดลม ก็เสมือนกับการกินแท่งช็อกโกเล็ตน้ำตาลเหลว ส่วนประกอบสำคัญในน้ำอัดลมก็คือ น้ำเชื่อมฟรัคโต๊สที่ได้มาจากข้าวโพด



7. ชิ้นไก่ทอดเนื้อนุ่มไร้กระดูก


ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นในห้องปฏิบัติการทดลอง และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นได้ มีสารฟอสเฟตประกอบอยู่ด้วย ทำให้ร่างกายเกิดเป็นกรด เป็นการยากที่จะทำให้มันเผาไหม้ไขมันได้อย่างเหมาะสมถูกต้อง จึงถูกสะสมและยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ นัคเก็ตชิคเก้นบางอัน (ของแม็คโดนัล) จะมีสารอะลูมิเนียมด้วย ซึ่งเป็นสารพิษที่มีอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเมตะโบลิสซึมของร่างกายด้วย น้ำมันที่ใช้ในการทอดมันฝรั่งในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์


8. ไอศกรีม


มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเน็ตและไขมันที่แปรเปลี่ยน(Transfat) ไปจากธรรมชาติและ

1. ช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรัล
2. ทำให้เส้นเลือดแดงใหญ่อุดตัน
3. ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากยิ่งขึ้น(เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคมะเร็ง)

ฮอร์โมนที่ฉีดให้กับวัวเพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำนม จะลดการเมตะโบลิสซึมของร่างกายให้ลดน้อยลง ทำให้เกิดเนื้องอก ซีสต์และมะเร็งที่ทรวงอกและรังไข่


9. โดนัท

โดยเฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ โดนัทนั้นทอดในน้ำมันที่มีการออกซิไดซ์ และในแต่ละครั้งน้ำมันนั้นใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ ดังกิ้นโดนัทเปลี่ยนน้ำมันใช้ทอดทุกครั้งเมื่อทอดโดนัทครบ 3,600 ชิ้น น้ำมันในอุณหภูมิที่สูงจะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษและทำให้ร่างกายเมตะโบลิสซึมช้าลงเป็นการคุกคามต่อสุขภาพที่ดีของท่าน มีน้ำตาลอยู่สูง ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น


10. โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวยามว่างที่มียอดขายมาอันดับ 1 ของอเมริกัน


คนอเมริกันในปัจจุบันบริโภคโปเตโต้ชิพมากกว่าประชากรอื่นใดในโลก มีการบริโภคมันสำปะหลังเป็นอันดับสองรองจากข้าว มันกลายเป็นสินค้าโลกไปแล้วมันสำปะหลัง 4 ปอนด์ ใช้ทำโปเตโต้ชิพได้เพียง 1 ปอนด์ ขนาดเล็กของโปเตโต้ชิพที่บรรจุ 2 ออนซ์ มันจะมีพลังงานที่อัดแน่นสูงเกินกว่า 300 แคลอรี่ น้ำมันที่ใช้ในการทอดโพเตโต้ชิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดซ์ และใช้ทอดกันหลายรอบนานหลายสัปดาห์ การทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท การรับประทานโปเตโต้ชิพหนี่งถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปได้การรับประทานโปเตโตชิพหนี่งชิ้น อาจได้รับสารอะคริลิไมด์เท่ากับอัตราที่มีอยู่ในน้ำ ดื่มหนึ่งแก้ว มีไขมันอิ่มตัวแอบแฝงอยู่มาก มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดแคลนน้ำได ไปปิดกั้นการดูดซึมของไขมัน ทำให้การดูดซึมแร่ธาตุจากสารอาหาร ที่เรารับประทานเข้าไปได้น้อยลง ทำให้ปิดกั้นการดูดซึมสาร

สรุปแล้วเราจะกินอะไรได้บ้างเนี่ย นานๆกินทีคงไม่เป็นไรมั้ง

นำมาจากคุณ hidra14

6 วิธีทำลายสมอง

คู่มือการทำลายประสิทธิภาพการทำ งานของสมอง

1.โกหกเป็นประจำ
การโกหกเป็นประจำทำให้สมองต้องทำงานหนักกว่าปกติ จริงๆ แล้วสมองของคนเรายิ่งทำงานหนักก็ยิ่งดี และมีข้อมูลจากการศึกษาทดลองทั้งกับสัตว์ทดลองและกับ มนุษย์เองโดยตรงที่สนับสนุนเรื่องนี้ แต่การทำงานหนักของสมองมีอยู่ 2 อย่างคือ หนึ่ง : ทำงานหนักในด้านดี ด้านสร้างสรรค์ และสอง : ทำงานหนักในด้านไม่ดี ไม่สร้างสรรค์ เฉพาะการใช้สมองทำงานหนักในด้านสร้างสรรค์เท่านั้น จึงจะทำให้สมองมีประสิทธิภาพดียิ่งๆ ขึ้นไป

แต่คนโกหกเป็นประจำ สมองต้องทำงานหนักเป็นพิเศษในการที่จะต้องพยายามจำสิ ่งที่ได้โกหกเอาไว้ และก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนของการใช้สมองทำงานห นักอย่างไม่สร้างสรรค์ การโกหกเป็นประจำจึงเป็นวิธีหนึ่งที่แน่นอน ทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง


2.คิดในทางไม่ถูกต้อง

การใช้สมองคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นอีกวิธีหนึ่งของการทำลายประสิทธิภาพการทำงานของส มองได้อย่างแน่ชัด การคิดในทางที่ไม่ถูกต้อง คือ ผิดทำนองคลองธรรม ผิดกระบวนการ ผิดจริยธรรม ผิดจรรยาบรรณ ผิดกฎหมาย ตัวอย่างเช่น การคิดหาทางร่ำรวยทางลัด การเจริญก้าวหน้าในด้านอาชีพโดยวิธีการทางลัด โดยทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นการคดโกง การประจบผู้บังคับบัญชา การวางแผนทำลายเพื่อนร่วมงานเพื่อตนเองจะได้รับตำแหน ่งแทน การคิดหาช่องทางกอบโกยผลประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ เช่น การคอร์รัปชัน การแสวงหาผลประโยชน์ทับซ้อน โดยวิธีการที่แยบยล หรือผิดกฎหมาย ผิดประเพณีปฏิบัติที่ดีงาม โดยที่ไม่ต้องได้รับการลงโทษ เหล่านี้เป็นวิธีที่แน่นอนอีกวิธีหนึ่งในการทำลายประ สิทธิภาพการทำงานของสมอง

3.หมกมุ่นอบายมุข

การคิดหมกมุ่นอยู่กับอบายมุข เช่น การพนัน คลั่งหวย ฯลฯ ทำให้สมองต้องทำงานหนักทั้งเวลาตื่นและหลับ เพราะเวลาตื่นก็จะหมกมุ่นหาแต่อาจารย์เด็ด เลขเด็ด ตีความหมายของการฝันให้เป็นตัวเลข เวลาหลับก็จะฝันแต่เรื่องเป็นตัวเลข พบเห็นสิ่งผิดปกติในธรรมชาติก็จะคิดเป็นตัวเลข การหมกมุ่นกับอบายมุขทำลายทั้งประสิทธิภาพการทำงานขอ งสมองและคุณภาพชีวิต

4.(เจ้า) คิด (เจ้า) แค้น

คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเป็นประจำจะมีสภาพเป็นคนหมกมุ่นอยู ่กับความคิดที่ไม่เป็นมงคล สมองจะถูกทำลายเสมือนหนึ่งถูกอาบด้วยยาพิษเป็นประจำ ก็จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้ผลในการทำลายสมอง

5.เครียด ฟุ้งซ่าน

ความเครียด ความฟุ้งซ่าน ทำให้สมองต้องทำงานหนักอย่างผิดทาง ทำให้สมองหลั่งสารหรือขาดสารบางอย่างที่หล่อเลี้ยงแล ะกระตุ้นให้สมองได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดอาการซึมเศร้าหรือฟุ้งซ่านอย่างหนัก ถึงขั้นขาดสติยั้งคิดทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย

6.ไม่ยอมคิด
ตรงกันข้ามกับคนที่คิดมากอย่างผิดทาง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงอย่างหนัก ก็คือคนที่ไม่ยอมคิดอะไรเป็นพิเศษขึ้นมาเลย นอกเหนือไปจากการคิดเพื่อชีวิตอยู่ไปวันๆ เช่น การกินอาหาร การทำงานตามหน้าที่อย่างเคร่งครัดเท่านั้น เผินๆ อาจดูคล้ายผู้บรรลุในสัจจะแห่งชีวิตและธรรมแบบ

นำมาจาก : Cosmoza

เรื่องน่ารู้..ที่คุณอาจไม่รู้, บางเรื่องแบบว่า..เพิ่งจะรู้จริงๆ

ชุดคำถามที่ 1 หมวด เคล็ดลับแม่บ้าน


1.ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ


เฉลย จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก

2.ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ

เฉลย จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ

3.ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ

เฉลย จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น

4.ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ

เฉลย จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน

5.มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ

เฉลย ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป

6.พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้

7.เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้

เฉลย จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น

8.เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ

เฉลย จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่งขึ้น

9.นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ

เฉลย จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา

10.ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ

เฉลย จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้

ชุดคำถามที่ 2 หมวดกินเพื่อสุขภาพ

1.กินน้ำมะนาวปั่นสามารถแก้อาการเมาค้างได้ จริงหรือ

เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไปได้

2.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลให้เกิดอาการชักได้

3.มันฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีกด้วย

4.ดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริงหรือ

เฉลย ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบายยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร

5.การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ

เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้คนไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็นการบริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่งทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพักหนึ่ง

6.การกินเนยก่อนนอนทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มีชื่อว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับได้สนิทดีขึ้น

7.กินส้มช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ

เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเองจะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมาด้วย

8.การกินช็อคโกแล๊ตช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ตมีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ผล

9.การกินบ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึงช่วยถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มากอีกด้วย

10.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม


ชุดคำถามที่ 3 หมวดรู้ไว้ใช่ว่า

1.การแลบลิ้นให้น้ำลายยืดลงพื้น 3 หยดจะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ

เฉลย จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แคปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิกริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป

2.ดูดนมยางของเด็กทารกตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ

เฉลย จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารกไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือนสั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีกด้วย

3.การสูดกลิ่นตัวผู้ชายทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคนรักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลดอาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้

4.แอปเปิ้ลผลิตกระแสไฟฟ้าได้ จริงหรือ

เฉลย จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่นทองแดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็นเหมือนแบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป ฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้เช่นกัน

5.ปัสสาวะมนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ

เฉลย จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึงเป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์

6.วัวกระทิงเกลียดสีแดง จริงหรือ

เฉลย ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุมากกว่า

7.เพชรแท้จะไม่ติดสีหมึก จริงหรือ

เฉลย จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้ายน้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชรเทียม

8.การทะเลาะกันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ดเลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำให้บาดแผลต่างๆ หายช้า

9.แสงแดดอ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการสร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึมเซา ได้

10.การฟังเพลงช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และบรรเทาอาการปวดข้อลงได้

ชุดคำถามที่ 4 หมวดความสวยความงาม

1.กินหวานมากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ผิว ทำให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และเหี่ยวย่นในที่สุด

2.การยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ

เฉลย จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะปลายนิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิตบริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้น

3.เอาน้ำแข็งถูหน้าก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ

เฉลย ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะแห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะหาย

4.การสวมเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ

เฉลย ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะที่ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่าเดิม

5.คนผิวแห้งมีโอกาสเกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือสารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิวมัน

6.การฝึกกลั้นหายใจสามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ

เฉลย จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึงหายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้

7.การร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ

เฉลย ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วยเผาผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวันละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มากถึง 50 แคลอรี

8.กาวตราช้างใช้รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วยกาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อมแซมตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออกไป แต่ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง

9.การเต้นรำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวันละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพดี

10.การใส่กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริงหรือ

เฉลย จริง เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะเมื่อผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์ขึ้นจนทำให้ขาใหญ่ ถ้าหากจำเป็นต้องใส่กระโปรงสั้นจริงๆ ควรใส่ถุงน่องเพื่อเพิ่มความอบอุ่น


ขอขอบคุณ เย็นตาโฟดอทคอม

โรคต้อหินที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์

โรคต้อหินชนิดเรื้อรัง เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างการใช้สายตา( Demand )และปริมาณเลือดแดงที่เข้ามาเลี้ยงเซลล์ประสาทตาภายในลูกตา( Supply ) เมื่อเซลล์ประสาทตาได้รับเลือดมาหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอ จะค่อยๆทยอยเฉาตายลงไปเรื่อยๆ ความดันลูกตาที่สูงกว่าปกติ เป็นเพียงสาเหตุรองที่ต้านระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ภาวะขาดเลือดดังกล่าวเลวลงไปอีก
ในอนาคต ประเทศไทยจะมีผู้ป่วยโรคต้อหินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสภาพเศรษฐกิจที่รัดตัว ผู้คนจะทำงานหนักมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้สายตา บวกกับความเจริญทางด้านไอที ทำให้มีการใช้คอมพิวเตอร์กันมากขึ้น และจะพบผู้ป่วยโรคต้อหินอายุน้อยลงเรื่อยๆ ( จากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทั้งวัน การเล่นเกมส์ และการใช้อินเตอร์เน็ต ) และเป็นกลุ่มของโรคต้อหินที่ไม่จำเป็นต้องมีค่าความดันลูกตาสูง ทำให้วินิจฉัยได้ยาก เหมือนในประเทศญี่ปุ่น ที่ขณะนี้มีผู้ป่วยโรคต้อหินชนิดความดันลูกตาปกติ มากที่สุดในโลก

อาการของโรคต้อหิน มีความสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยรู้ตัวว่าเป็นต้อหิน และนำผู้ป่วยให้ไปพบจักษุแพทย์ ทำให้ได้รับการวินิจฉัยโรคได้เร็วขึ้น อาการของโรคต้อหิน มีอะไรบ้าง ?

1. ตาพร่า ตามัว เห็นภาพเบลอซ้อน หรือตามืดบอดชั่วขณะหนึ่ง
2. เห็นจุดแสงดำขาวเต็มไปหมด หรือเห็นเป็นแสงระยิบระยับเมื่อมองไปกลางแดด
3. ปวดในเบ้าตาลึกๆและปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน หรือปวดจี๊ดขึ้นสมอง
4. ตาจะพร่า เมื่อมองวัตถุบนพื้นที่มีแสงจัดหรือบนพื้นที่มันวาว
5. อ่านหนังสือไม่ทน ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือดูโทรทัศน์ ได้ไม่นาน
6. เห็นดวงไฟมีแสงเจิดจ้า เป็นรัศมีกระจาย เห็นเป็นฝ้าหมอกหรือวงสีรุ้ง รอบดวงไฟ
7. เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบ หรือเห็นลำแสงวิ่งผ่านตา หรือเห็นเป็นเส้นหยักๆที่หางตา
8. มีความลำบากในการสังเกตุพื้นต่างระดับเวลาก้าวเดิน หรือเวลาขึ้นลงบันได
9. เห็นสีจืดจางลงหรือผิดเพี้ยนไป เห็นตัวหนังสือเลือนรางหรือแตกพร่า
10. การมองในที่มืดแย่ลง เห็นหน้าคนไม่ชัด และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืน
11. เวลาขับรถลงอุโมงค์ลอดทางแยกหรือเดินเข้าที่ร่มในเวลาแดดจัด ตาจะมืดบอดชั่วขณะ
12. เวลามองผ่านกระจกหน้ารถในทิศทางย้อนแสงอาทิตย์ ตาจะพร่าและสู้แสงไม่ค่อยได้
13. เวลากลางคืนมักจะเดินชนข้าวของเป็นประจำ ชอบที่จะเปิดไฟทุกดวงเท่าที่มี
14. มองสิ่งที่เคลื่อนที่เร็วๆไม่ทัน ทำให้ไม่มั่นใจเวลาขับรถหรือเดินข้ามถนนคนเดียว
15. ตาสู้แสงไม่ได้ ต้องใส่แว่นดำเป็นประจำ
16. เห็นแสงมืดลงไปเรื่อยๆ หรือเห็นเป็นหมอกควันอยู่ทั่วๆไป
17. ลานสายตาแคบเข้ามาเรื่อยๆ จนระยะท้ายเหมือนมองผ่านท่อกลม


*** หมั่นไปตรวจตากันบ้างเน้อ ***

" น้ำหอม ", เทคนิคการใช้


เคล็ดลับการฉีดน้ำหอมให้ติดทนนาน

ถ้าพูดถึงน้ำหอม เชื่อว่าใครหลายคนก็คงต้องใช้กัน เพราะความหอม ที่หอมสมชื่อ...

คนส่วนใหญ่อยากให้น้ำหอมติดทนนานไปจนถึงเวลากลับบ้าน...

แล้วรู้ไหมว่า การฉีดน้ำหอมให้ติดทนนานต้องทำอย่างใร?

วันนี้เรามีคำแนะนำมาบอกกัน


1. ควรฉีดน้ำหอมวันละ 2-3 ครั้ง ไม่ควรคิดว่าการฉีดน้ำหอมครั้งหนึ่งจะอยู่ได้นานทั้งวัน สารกันระเหยที่ใส่ในน้ำหอมใช้เพื่อให้น้ำหอมติดทนบนผิว นานที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

2. ควรฉีดน้ำหอมตามจุดชีพจร เช่น ด้านในข้อมือ ข้อศอก ข้อพับใต้ติ่งหู (ไม่ใช่หลังใบหู)

3. การฉีดพรมน้ำหอมหลังทาโลชั่นบำรุงผิว จะทำให้น้ำหอมติดทนนานขึ้น

4. ถ้าผิวแพ้น้ำหอม ให้ฉีดน้ำหอมลงบนผ้าเช็ดหน้า แล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้า หรือกระเป๋าถือ

5. ห้ามถูน้ำหอมให้ซึมเข้าไปในผิว เพราะการทำเช่นนั้นจะทำให้น้ำหอม "ช้ำ"ควรฉีดน้ำหอมลงบนผิว และปล่อยให้แห้งเองตามธรรมชาติ

6. ใช้น้ำหอมที่ต่างกลิ่นกันในแต่ละโอกาสหรืออารมณ์ เช่น ใช้น้ำหอมกลิ่นหนึ่งสำหรับกลางวัน และอีกกลิ่นหนึ่งสำหรับกลางคืน

7. รู้จักใช้น้ำหอมอย่างสร้างสรรค์ เช่น ฉีดลงบนกระดาษเขียนจดหมาย ก่อนพับใส่ซอง ฉีดพรมบนผ้าปูที่นอนก่อนเข้านอน ฉีดเบาๆ ที่หลอดไฟก่อนเปิดไฟ ฉีดที่เทียนไขก่อนจุด เป็นต้น


ส่วนการเก็บรักษาน้ำหอม ควรเก็บน้ำหอมไว้ในตู้เย็น หรือเก็บไว้ในที่แห้งและเย็นเสมอ ที่สำคัญ ไม่ควรฉีดน้ำหอมมากเกินไป เพราะอาจจะกลายเป็นฉุนจนสร้างความรำคาญใจให้กับคนรอบข้างได้นะ...

เคล็ดลับดูแลร่างกาย 12 ประการ

เคล็ดลับ 12 ข้อ

1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่างและรากผมแข็งแรง(ใช้หวีซี่ห่างหน่อยแปรงเบาหน่อยเพื่อกันผมหลุด)

2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อนหลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง

3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง

4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว

5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: ใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย

7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ อาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ (กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย

9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น

10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวารและท้องผูก

11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไปทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อนไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ

12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกายคล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี





......................................................................

ปวดท้องตรงไหนเป็นอะไรกันแน่

อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ

แต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะอะไร ทนได้ก็ทน แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดาน กดแล้วเจ็บ หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที

เราสามารถแบ่งบริเวณที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี
อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่ คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
- ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
- ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต
- คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวา คือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวา คือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
- คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือ คือ ลำไส้เล็ก มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ ( ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา) แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้าย คือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่ ( เหมือนข้อ 4)

7.. ท้องน้อยขวา คือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
- ปวดเกร็งเป็นระยะ ร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
- ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
- ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
- คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อย คือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
- ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกระปริบกระปรอย มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้าย คือ ปีกมดลูกและท่อไต
- ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
- ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
- ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
- คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้.

ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย:ชีวจิต

ขอให้อ่านและจำไว้ สิ่งที่จะต้องทำเมื่อคุณติดอยู่ในลิฟต์, MUST read and remember What to do when U're tratrapped in a lift

เราไม่รู้ว่าเมื่อไรและที่ไหนที่อุบัติเหตุจะเกิดขึ้นกับเราหรือผู้คนรอบข้าง ขอให้อ่านและหวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยพวกเราได้เมื่อเกิดอะไรขึ้น สำหรับพวกเรา เพื่อน และบุคคลที่เรารัก

วันหนึ่ง ขณะที่อยู่ในลิฟต์ มันก็หยุดกระทันหันและร่วงลงจากชั้น 13 ด้วยความเร็วสูง โชคดีที่ผมจำได้จากทีวีที่สอนว่า คุณจะต้องกดทุกปุ่มสำหรับทุกชั้นอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุด ลิฟต์หยุดที่ชั้น 5 ขณะที่คุณกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย การตัดสินใจหรือการกระทำอะไรจะตัดสินความอยู่รอดของคุณ ถ้าคุณอยู่ในสถานะลิฟต์ตก สิ่งแรกในใจมักจะเป็น รอความตาย แต่หลังจากที่ได้อ่านข้อความล่างแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อคุณติดอยู่ในลิฟต์

สิ่งแรก – ให้กดปุ่มให้ลิฟต์จอดทุกชั้นอย่างเร็วที่สุด

สอง - จับที่จับให้แน่น หากว่ามี

สาม – พิงหลังและศีรษะเข้ากับผนังให้เป็นเส้นตรง

สี่ – งอเข่า เหตุผลก็คือ เมื่อลิฟต์ตก คุณจะไม่รู้ว่าเมื่อไรที่มันจะกระแทกกับพื้น และอาจจะส่งผลให้กระดูกทั่วร่างแตกละเอียด

จุดแรก เมื่อไฟฟ้าสำรองทำงาน มันจะหยุดลิฟต์จากการร่วงลงมา

จุดที่สอง มันจะช่วยรองรับตำแหน่งและป้องกันคุณจากการหล่นและการบาดเจ็บถ้าคุณเสียสมดุล

จุดที่สาม การพิงผนังจะทำให้มันช่วยป้องกันหลังและกระดูกคุณ

จุดที่สี่ เส้นเอ็นจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่ยืดหยุ่น มันสามารถยืดกระดูกเข้าด้วยกันเป็นกิจกรรมต่างๆ แต่จะจำกัดบางสิ่งเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ ดังนั้น ผลกระทบจากกระดูกแตกจะลดลงจากการกระแทกของการร่วงหล่น

We never know when and where accidents will happen to us OR people around us. Read on and hope this piece of information may help any of us when things do happen! For ourselves, our friends and our loved ones.

One day, while in a lift, it suddenly breakdown and it was falling from level 13 in a fast speed. Fortunately, I remembered watching a TV program that has taught that you must quickly press all the buttons for all the levels. Finally, the lift stopped at the 5 level. While you are facing life and death situations, whatever decisions or actions you make decides your survival. If you are caught in a lift breakdown, first thought in mind may be 'waiting to die'.... But after reading the below, things will definitely be different the next time you are caught in a lift.
First - Quickly press all the different levels of buttons in the lift.

Second - Hold on tight to the handle (if there is any).

Third - Lean your back and head against the wall forming a straight line.

Fourth - Bend your knees. Reason - When the lift falls, you will not know when it will hit the ground, and it may result in whole body bone fracture.


Point 1 - When the emergency electricity supply is being activated it will stop the lift from falling further.

Point 2 - It is to support your position and prevent you from falling or getting hurt when you lost your balance.

Point 3 - Leaning against the wall is to use it as a support for your back/spine as protection.

Point 4 - Ligament is a flexible, connective tissue. It can be attached to the bone part of the activities, but limit the scope of their activities in order to avoid injury. Thus, the impact of fractured bones will be minimised from the severe pressure during fall.

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552

5 คุณสมบัตินักสร้างอัจฉริยะที่ดี

"หนูดี" ยังแนะผู้ที่ต้องการเข้าสู่วงการนี้ว่า


1.มีคุณธรรมและรู้จริง เพราะวงการนี้เป็นการสร้างคนซึ่งมีความละเอียดอ่อนสูง การให้ข้อมูลผิดเท่ากับเป็นการทำบาป นอกจากนี้ ความรู้ที่มีไม่ใช่แค่ความรู้ที่อ่านจากหนังสือต้องรู้ลึกถึงข้อมูลที่แท้จริง

2. ชื่อธุรกิจบอกแล้วว่าสร้างอัจฉริยะ คนที่จะทำต้องมีปูมหลังชีวิตที่ดี ต้องเรียนเก่ง ทำงานเก่ง และบริหารชีวิตส่วนตัวได้ เพราะถ้าจะไปสอนคนอื่นต้องทำชีวิตตัวเองให้ดีก่อน

3.รู้จักเอื้อคนอื่น

4.รู้กติกาสากลในการเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเข้ามา

5.เก่งทั้งภาษาไทยและอังกฤษ

วิธีค้นหาความเป็นอัจฉริยะ

"วิธีค้นหาความเป็นอัจฉริยะ"

การจะค้นหาความเป็นอัจฉริยะของตนเองพบหรือไม่นั้น ต้องเริ่มที่การรู้จักตนเองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเมื่อรู้จักตน ความต้องการและเป้าหมายข้างหน้าของตนแล้ว การจะมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายย่อมไม่ใช่เรื่องยาก





ข้อ 1.เขียนวงกลมวางเหลื่อมกัน 3 วงกลม

วงกลมที่ 1 เขียนสิ่งที่เราเก่ง หรือทำได้ดี แม้จะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบมากก็ได้

วงกลมที่ 2 เขียนสิ่งที่เราชอบและอยากทำ

วงกลมที่ 3 เขียนสิ่งที่โลกต้องการจากเราโดยให้ใกล้เคียงกับความสามารถของเราที่สุด

เมื่อเขียนข้อมูลครบทั้งสามวงกลมแล้ว ให้ดูข้อมูลทั้งสามวงกลมมีความซ้อนทับกัน เมื่อวิเคราะห์แล้ว จะทำให้รู้ว่าเราอยากมีอนาคตเป็นเช่นไร


ข้อ 2.เขียนวงกลม 3 วงซ้อนกัน จากเล็กไปใหญ่ เขียนข้อความลงในวงกลมถึงสิ่งที่อยากทำ เช่น ถ้าอยู่ในระหว่างเลือกสาขาเรียน

วงกลมที่ 1 เขียนสิ่งที่อยากเรียน

วงกลมที่ 2 เขียนสิ่งที่อยากเรียนมาก

วงกลมที่ 3 เขียนสิ่งที่อยากเรียนมากที่สุด


จากนั้นให้วิเคราะห์จากวงกลมทั้งสามว่า สิ่งใดที่ไม่ได้เรียนแล้วจะเสียใจมากที่สุด ก็จะทราบความต้องการของตนเอง
แต่อย่าลืมว่าข้อความในวงกลมทั้งสามสามารถเปลี่ยนแปลงได้เรื่อยๆ จนตลอดชีวิต และเราต้องไม่จำกัดตัวเองอยู่ในความสามารถปัจจุบันเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้วชีวิตมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงเสมออย่างเลี่ยงไม่ได้



"รู้จักความเครียด"

ภาวะเครียดแบ่งได้เป็น 3 ระดับ

1.ไม่มีความเครียดเลย เป็นสภาวะที่ไม่น่าอยู่ เป็นจุดที่จะไม่มีการพัฒนาตนเอง เพราะไม่มีภาวะบีบบังคับหรือแรงกดดันใดๆ ทั้งสิ้น เป็นสภาวะหยุดนิ่ง

2.เครียดปานกลาง เป็นสภาวะที่ทำให้เรามีความพร้อมที่จะเรียนรู้ เป็นภาวะที่จะทำให้งานประสบผลสำเร็จ เพราะความกดดันตรงนี้จะบังคับให้เราทำงานได้เป็นอย่างดี

3.เครียดมาก เป็นความเครียดที่ทำให้เกิดความกลัว เพราะทักษะความสามารถของเราไม่เก่งพอ เราจึงกลัวว่าจะล้มเหลว กลัวอับอาย ทำให้ขาดความสุขในการทำงาน และงานที่ได้ออกมาจะไม่ดีเท่าที่ควร

ดังนั้น คนในปัจจุบันจะต้องดูว่าเรามีความเครียดระดับไหน และต้องจัดการให้ได้ เพื่อจะได้มีสมองที่ดี และสมบูรณ์ในการค้นหาความเป็นอัจฉริยภาพในตัวเองให้เจอในเวลารวดเร็วที่สุด

อัจฉริยะสร้างได้ วิทยาการใหม่ฝึกสมอง


"สมองของคนเรามีเซลล์สมองเท่ากับไอน์สไตน์ ดังนั้น ไอน์สไตน์ฉลาดได้เท่าไหน โดยทฤษฎีแล้วเราก็ฉลาดได้เท่านั้น"

ข้อความส่วนหนึ่งในหนังสือที่ชื่อว่า "อัจฉริยะสร้างได้" ที่เขียนโดย "วนิษา เรซ" คนไทยเพียงคนเดียวที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทางสมอง จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้ความหมายของคำ "อัจฉริยภาพ" ว่า ความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติมาก
เป็นเหตุให้ใครหลายๆ คนคิดว่าการจะเป็นอัจฉริยภาพนั้นยากเกินกำลัง แต่ วนิษาบอกว่า คนทุกคนมีความเป็นอัจฉริยภาพอยู่ในตัวอย่างน้อย 8 ด้าน เพียงแค่ว่าจะหาเจอช้าหรือเร็วเท่านั้น

วนิษาเล่าให้ฟังว่า ในอดีตก่อนที่งานวิจัยทางสมองจะก้าวหน้าเหมือนในปัจจุบัน คนมักมีความเชื่อว่า ความฉลาดเป็นสิ่งที่เรามีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ใครเกิดมาด้วยไอคิวเท่าไร ก็จะจากโลกนี้ไปด้วยไอคิวเท่านั้น ระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงใดๆ

เมื่อเวลาผ่านไปนักวิจัยได้วิจัยสมองด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย พบว่าสมองของคนเรามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน แม้ในผู้สูงอายุยังมีการเปลี่ยนแปลงการเรียนรู้สิ่งใหม่ และมีการสร้างเส้นใยสมองใหม่ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น ความเชื่อที่ว่าความฉลาดเป็นสิ่งตายตัวจึงกลายเป็นความคิดที่ล้าหลัง

จากนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพหลายท่าน ก็ได้คิดค้นทฤษฎีและวิธีการต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพสมอง และพัฒนาอัจฉริยภาพสำหรับบุคคล

วนิษาเล่าย้อนให้ฟังถึงสาเหตุที่เลือกเรียนปริญญาโทด้านสมองว่า เริ่มจากเมื่อตอนที่เรียนปริญญาตรี เลือกเรียนด้านการศึกษาและครอบครัว เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทุกคนในโลกนี้ เรียนแล้วพบว่ามันสามารถใช้ได้จริงกับทุกคน พอจะต่อปริญญาโทจึงตั้งโจทย์ให้กับตัวเองว่า จะต้องเกี่ยวกับทุกคนในโลก และเกี่ยวข้องกับด้านการพัฒนาคน

สิ่งที่ตั้งโจทย์นำไปสู่คำว่า "สมอง" เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากสมอง และสมองเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาคน

ที่สำคัญเธออยากรู้ว่าคนเราต้องทำอย่างไรถึงจะฉลาด เป็นอัจฉริยะได้โดยที่ยังสามารถใช้ชีวิตได้แบบเดินทางสายกลางอย่างมีความสุข ไม่ต้องเรียนแบบหักโหม

พอศึกษาไปก็เจอ "ทฤษฎีพหุปัญญา" ของ ดร.โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ทฤษฎีที่สอนด้านสมอง ที่ไม่ใช่การผ่าตัด แต่เป็นการเรียนรู้ว่า สมองคืออะไร สมองทำงานอย่างไร และรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรถึงจะใช้สมองได้อย่างคุ้มค่าและมีศักยภาพที่สุด


ซึ่งทั่วโลกมีเพียงที่มหาวิทยาลัยฮาร์ดวาร์ดแห่งเดียวที่สอนด้านสมองทฤษฎีพหุปัญญา เป็นทฤษฎีที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงและยอมรับกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยทฤษฎีนี้ค้านกับความเชื่อเดิมที่บอกว่า อัจฉริยภาพมีเพียงด้านคณิตศาสตร์และภาษาเท่านั้น แต่ยืนยันว่า...

"อัจฉริยภาพของคนเรามีอย่างน้อย 8 ด้าน ประกอบด้วย ด้านภาษาและการสื่อสาร, ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว, ด้านมิติสัมพันธ์และจินตภาพ, ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์, ด้านการเข้าใจตนเอง, ด้านมนุษยสัมพันธ์และการเข้าใจผู้อื่น, ด้านการเข้าใจธรรมชาติ และด้านดนตรีและจังหวะ"





ถึงตอนนี้หลายคนคงสงสัยกันแล้วว่า อัจฉริยภาพสร้างได้จริงหรือ? และสามารถสร้างได้อย่างไร?



วนิษา บอกว่า คนเราสามารถสร้างความเป็นอัจฉริยภาพในตัวเองได้ เพราะความเป็นอัจฉริยภาพนั้นเกิดจากการมีเส้นใยสมอง ซึ่งสมองมีการสร้างเส้นใยสมองอยู่ตลอดเวลา และบวกกับการที่คนเรามีความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้เพิ่มเติมได้

การพัฒนาความเป็นอัจฉริยภาพของเรานั้นอันดับแรกต้องดูว่าเราชอบอะไร ต้องการเป็นอัจฉริยะด้านไหน และต้นทุนในการพัฒนาสูงแค่ไหน แต่ความเป็นอัจฉริยะจะต้องเกิดจากการฝึกฝนด้วย ถ้าไม่ฝึกไม่ลองทำก็ไม่รู้ว่าเรามีอัจฉริยภาพด้านนั้นๆ อยู่ในตัว เพราะฉะนั้น เราควรที่จะหาเวลาและพื้นที่ว่างในการทดสอบและฝึกฝนตัวเองให้เป็นอัจฉริยะ

"นั่นคือ ในการค้นหาอัจฉริยภาพในตัวเองนั้นจะต้องมีการทดลองทำ และฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ ที่อยู่รอบตัวเราก่อน"





ส่วนคนที่มักบอกว่าหาตัวเองไม่เจอนั้น วนิษาบอกว่า คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีเวลาให้ตัวเอง ไม่เคยหยุดคิดและฟังตัวเองว่าต้องการอะไร ชอบอะไร ซึ่งการสำรวจตัวเองตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นอัจฉริยภาพด้านการเข้าใจตนเอง ที่หมายถึงการกำหนดว่าจะเอาพลังที่เรามีอยู่ไปใช้ได้อย่างไรบ้าง และหากมีอัจฉริยภาพด้านนี้แล้วความเป็นอัจฉริยภาพด้านอื่นๆ ก็จะตามมาในไม่ช้า

อย่างลีโอนาร์โด ดาร์วินชี่ เป็นทั้งนักศิลปะและนักวิทยาศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงในเวลาเดียวกัน เขามีความสามารถและพรสวรรค์ทั้งสองอย่างในตัวเอง และสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งคนอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของตน และขณะเดียวกันก็ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งอื่นๆ ที่แตกต่างด้วย

วนิษา บอกว่า จากการที่เธอได้ทำการศึกษาเรื่องสมองอย่างจริงจังทำให้พบว่า คนในปัจจุบันขาดการดูแลสมองเป็นอย่างมาก ไม่สนใจและไม่บำรุงสมองเลย ที่สำคัญคนเราคิดว่าการดูแลสมองเป็นเรื่องใหญ่ จะต้องไปหาหมออย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วการดูแลสมองนั้นไม่ยากเลยทำได้ง่ายๆ เพียงแค่การกินอาหารที่เป็นประโยชน์ เช่น พืชผัก ข้าวซ้อมมือ การดื่มน้ำมากๆ การออกกำลังกายเบาๆ เป็นประจำ หรือแม้กระทั่งการพักผ่อนให้เพียงพอ รวมทั้งการฝึกกระบวนการคิดที่เป็นระบบ เหล่านี้ล้วนเป็นวิธีการดูแลสมองอย่างง่ายๆ

เรื่องการฝึกสมองให้เป็นระบบ ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการฝึกด้านไหน ซึ่งฝึกได้หลายชนิดมาก เพราะทุกอย่างที่เราทำจะเกี่ยวข้องกับสมองหมดเลย จึงไม่มีสูตรสำเร็จว่าจะฝึกสมองอย่างไรสมองถึงจะดี





คนเรามีความถนัดแตกต่างกัน สมองก็แตกต่างกันด้วย เช่น สมองของนักบัญชีก็ไม่เหมือนสมองของนักจัดสวน เนื่องจากสมองเป็นตัวรับรู้ เป็นตัวประมวลผล และสั่งให้เราทำ

ที่สำคัญสมองเป็นอวัยวะที่ยืดหยุ่นมากแล้วแต่ว่าเราจะทำอะไรกับสมอง เช่นการรู้จักจัดการสมองตนเองเมื่อเกิดความเครียด

"สมองของคนเราเมื่อมีความเครียดจะหลั่งสารคอร์ดิซอร์ ซึ่งเป็นสารที่ทำให้สมองไม่มีการคิด ทำให้คิดไม่ออก เป็นผลให้ข้อมูลต่างๆ ออกมาไม่ได้ เป็นสารเคมีเป็นพิษต่อสมอง แต่สารนี้จะสามารถสลายไปเมื่อมีสารเอ็นดอร์ฟิน เพราะสารเอ็นดอร์ฟินนี้เป็นสารที่มีความสุข เมื่อเราทำสิ่งที่ชอบจะมีการหลั่งสารนี้ออกมา ซึ่งจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ขณะเดียวกันความเครียดนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง ถ้ามีความเครียดในระดับที่เหมาะสมจะสามารถบังคับตนเองให้ทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งได้สำเร็จ" วนิษาสรุป

ฉะนั้น ยิ่งค้นพบความเป็นอัจฉริยะเร็วเท่าไหร่ จะยิ่งเป็นผลดีต่อตัวเราเท่านั้น เพราะแม้จะมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่หากขาดการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องความเป็นอัจฉริยภาพก็มิอาจเปล่งประกายออกสู่สายตาผู้อื่นได้

โปรแกรมสมองของคุณ ให้กลายเป็นอัจฉริยะ ..ของวนิษา เรซ (หนูดี)

ว่าบทความนี้มีประโยชน์มากจริงๆ ครับ ไม่ต้องเสียเงินเสียทองไปกับอาหารเสริม หรือ ยาบำรุง ที่โฆษณากันอยู่มากมาย เพียงแค่ตั้งสติ แล้วหยิบเอาความตั้งใจ และ ยึดหลักทางสายกลางในการดำเนินชีวิต ตามรอยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงเท่านี้เราก็จะมีสุขภาพกายและใจที่สมบูรณ์แล้วล่ะครับ





1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Thet a ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจการตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื ่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้
แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดีคุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

บทสัมภาษณ์จาก : วนิษา เรซ

6 กลุ่มเสี่ยง ระวังแพร่เชื้อโรคไม่รู้ตัว


จากสถานการณ์ตอนนี้จะเห็นได้ว่ามีโรคต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้ต้องรักษาความสะอาดและป้องกันโรคให้ดี เพราะอาจได้รับพาหะของเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว

สังเกตง่ายๆ ว่าตัวเองและคนรอบข้างเข้าข่ายพฤติกรรมเสี่ยง 6 กลุ่มนี้หรือไม่ โดยสมาคมกระดาษทิชชูยูโรเปียนได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ศึกษาวิจัยขึ้นมา

เริ่มที่ "กลุ่มล้างแต่ไม่เช็ด" (Wet Hands Harry) กลุ่มนี้เรียกว่าเป็นผู้ประสงค์ดี แต่แพร่เชื้อโรคโดยไม่รู้ตัวเพราะเป็นกลุ่มที่รู้จักล้างมืออย่างถูกสุขลักษณะแต่ไม่ยอมเช็ดมือให้แห้ง จะทำให้กลายเป็นแหล่งเชื้อโรค เพราะความเปียกชื้น

"กลุ่มไม่เปลืองสบู่" (Soapless Sue) กลุ่มนี้จะขี้เกียจ แค่พรมน้ำบนมือแต่ไม่ถูสบู่ เพราะคิดว่าเพียงพอต่อการกำจัดเชื้อโรคไปจากมือแล้ว

"กลุ่มกางเกงสารพัดประโยชน์" (Trousers) กลุ่มนี้เป็นพวกมักง่าย หลังล้างมือแล้วไม่ยอมใช้กระดาษทิชชูเช็ดมือ แต่กลับเอามือเปียกๆ มาเช็ดกางเกงตัวเอง

"กลุ่มบีซี่ไม่มีเวลา" (Flat Chat Pat) กลุ่มนี้มีความมั่นใจเกินร้อย ทำให้เวลาเข้าห้องน้ำเสร็จต้องรีบออกอย่างรีบด่วน ส่งผลให้ล้างมือแบบลวกๆ

"กลุ่มเพื่อนแท้ของเชื้อโรค" (Nev) กลุ่มนี้เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรคมากที่สุด เนื่องจากนิสัยที่ไม่เคยล้างมือและเช็ดมือเลยหลังออกจากห้องน้ำ

สุดท้าย "กลุ่มต้องการไออุ่น" (Blower Boy) กลุ่มนี้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชอบเครื่องเป่าลมเป่ามือให้แห้งซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกสุขอนามัย


นายคีธ เรดเวย์ นักวิชาการอาวุโสภาควิชาชีววิทยาการแพทย์ มหราวิทยาลัยเวสมินสเตอร์ แนะเคล็ดลับการล้างมือที่ถูกสุขอนามัยว่า

ให้ล้างมือด้วยน้ำสะอาด กดสบู่ให้พอดีต่อการล้าง และเริ่มล้างตั้งแต่มือ แขนไปจนถึงข้อศอก ใช้มือแต่ละข้างถูบริเวณหลังมือของอีกข้างหนึ่ง แล้วถูฝ่ามือทั้งสองข้างขัดสิ่งสกปรกบริเวณซอกเล็บ ข้อนิ้วและง่ามนิ้ว ล้างสบู่ออกด้วยน้ำสะอาด และเช็ดมือให้แห้งด้วยการใช้กระดาษเช็ดมือเพื่อสุขอนามัย

เริ่มดูแลตัวเองก่อน ป้องกันการแพร่เชื้อโรคได้ดี

ความเชื่อโบราณในการทานผัก

ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพืชผัก ข้อห้ามและข้อแนะนำในการบริโภคพืชผักบางชนิดถูกห้ามบริโภคในกลุ่มคนบางกลุ่ม ในขณะเดียวกันกลับถูกแนะนำให้บริโภคพืชผักอีกชนิดหนึ่ง


โดยเชื่อว่า พืชผักบางอย่างรับประทานเข้าไปแล้วจะเกิดโทษในขณะที่พืชผักบางอย่างรับประทานเข้าไปจะเกิดผลดี ข้อห้ามข้อแนะนำเหล่านี้มักจะนำไปใช้กับกลุ่มบุคคลที่มีลักษณะพิเศษ ดังนี้







1.หญิงตั้งครรภ์
ข้อห้ามได้แก่ ห้ามกินบอน จะทำให้สายรกเปื่อย ห้ามกินผักแว่นจะทำให้รกพันคอเด็ก ห้ามกินกล้วยจี่ จะทำให้รกติด เป็นต้น ข้อห้ามเหล่านี้ถูกอ้างว่าจะมีผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ทั้งสิ้น

หากจะพิจารณาถึงผลโดยตรงต่อเด็กแล้วอาจจะเป็นไปไม่ได้ ผลที่จริงแล้วเกิดกับแม่ต่างหาก เช่น บอนหากทำไม่ถูกวิธีจะทำให้คันปาก ผักแว่นหากทำไม่สะอาด อาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย เป็นต้น

สำหรับข้อปฏิบัตินั้นได้แก่ ให้กินปลีกล้วย ขนุนอ่อน เพราะจะทำให้ช่วยบำรุงน้ำนม จุดนี้ชาวบ้านเองคงจะสังเกตเห็นว่า ผักทั้ง 2 อย่างมียางขาวๆ คล้ายนมจึงคาดหวังว่าคงช่วยได้ และจากการปฏิบัติจริงพบว่าได้ผลจริงด้วย ฉะนั้น จึงได้ตั้งเป็นข้อปฏิบัติตลอดมา


2.หญิงหลังคลอด
ห้ามกินผักเย็น เช่น แตงทุกชนิด ห้ามกินผักหวาน ผักกาด ชะอม หน่อไม้ ผักเลียบ พริกด้วย ผักพวกนี้ จะทำให้เกิดอาการเจ็บท้องทั้งแม่และลูก

ผักที่แนะนำให้กิน ได้แก่ ปลีกล้วย ผักตำลึง ขนุนอ่อน บัวบก ไพล เพาะจะช่วยให้น้ำนมมาก และไพลช่วยให้เลือดไหลเวียนดี

ข้อปฏิบัตินี้ได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมานาน และถ่ายทอดมาให้ลูกหลาน แต่การที่จะปฏิบัติตัวอย่างไรหรือไม่นั้น อาจจะพบได้น้อยลงไปบ้างแล้ว

เพราะปัจจุบันระบบการคลอดจากสถานบริการของรัฐมุ่งใช้ยาบำรุงและอาหารหลัก 5 หมู่ อย่างไรก็ดีแกงเลียงจึงเป็นอาหารยอดฮิตสำหรับคนหลังคลอดเพราะประกอบด้วยผักที่แนะนำมาเกือบครบถ้วน


3.ผู้มีคาถาอาคม
กลุ่มบุคคลเหล่านี้จะมีข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการกินอาหาร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นข้อห้าม โดยจะมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังว่า พืชผักเหล่านี้จะทำให้คาถาเสื่อมลง พืชผักที่ห้ามกินคือ

มะขามป้อมอันเป็นพืชที่อยู่ในตำนานเรื่อง ทรพี ทรพา จากตำนานนี้ได้ถูกนำมาเป็นข้อห้ามของคนที่มีคาถาที่จะไม่กินมะขามป้อม

ในขณะเดียวกันจะนิยมใช้ส้มป่อยมาใช้ในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การล้าง เสนียดจัญไร การนำมาใช้สระหัว เป็นต้น สำหรับผักที่ห้ามกินนั้น ได้แก่ น้ำเต้าฟักเขียว และโหระพา

โดยถือว่าผักเหล่านี้กินแล้วทำให้อ่อนแรงลง คาถาอาคมเสื่อม ซึ่งหมอคนเมืองคนหนึ่งเล่าว่า “น้ำเต้าเป็นของเย็น กินแล้วคาถาจะเสื่อมไม่ขึ้นมันแพ้กันฟักเขียวกินแล้วจะอ่อนแรง ช้างที่ตกมันเอาฟักหัวเขียวโยนให้กินจะอ่อนกำลังลงได้”


นอกจากข้อห้ามเหล่านี้แล้ว คนเหล่านี้จะไม่กินอาหารในงานศพ นอกจากนี้จะเป็นเวลาหลังจากเผาศพเสร็จแล้วถึงกินได้โดยถือว่ากินของผี ผีจะข่มเอาได้ ความเชื่อนี้ยังมีอยู่เพราะกลุ่มหมอพื้นบ้านต่างๆ ยังคงยึดมั่นกับความเชื่อเหล่านี้จริงๆ


ที่มา:www.thainn.com

ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อันตรายที่อย่ามองข้าม


ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ อันตรายที่อย่ามองข้าม แพทย์แนะทางที่ดีควรหมั่นดูแลสุขภาพ พักผ่อนให้เเพียงพอ ไม่เครียด และออกกำลังกายเป็นประจำ

จากการที่สหพันธ์หัวใจโลก ได้กำหนดให้วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายนเป็น "วันหัวใจโลก" เพื่อให้ประชากรโลกตระหนักถึงภยันตรายจากโรคหัวใจ หลายหน่วยงานจึงออกมาขานรับที่จะช่วยกันให้ความรู้เรื่องโรคหัวใจ และ "ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ" ถือเป็นอีกหนึ่งโรคหัวใจที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม เมื่อใดที่เกิดภาวะหัวใจเต้นช้าหรือเร็วมากเกินไป หรือเรียกว่า "ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ" ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงและหาแนวทางรักษาที่ถูกต้องโดยเร็ว

ศ.นพ.เกียรติชัย ภูริปัญโญ ผู้อำนวยการศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลเวชธานี เผยถึงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะไว้อย่างน่าสนใจว่า

หัวใจเต้นผิดจังหวะเป็นโรคหัวใจที่พบได้บ่อย ส่วนมากพบในผู้ใหญ่ ผู้ป่วยจะมีอาการหัวใจเต้นแรง ใจสั่น หรือเต้นสะดุด บางครั้งมีอาการเหมือนหัวใจหยุดเดินไป 1-2 จังหวะ ในรายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการเป็นลมหมดสติและเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้ ส่วนการตรวจวินิจฉัยสามารถทำได้หลายวิธี ด้วยวิธีทางการแพทย์ เช่น การตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง ตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ชนิด CT 64 Slice และ Cardiac MRI รวมทั้งการฉีดสีผ่านสายสวนหัวใจ เป็นต้น

ส่วนการรักษานั้นต้องวินิจฉัยอย่างรอบคอบและรักษาให้ตรงจุด เช่น กรณีที่การเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ ควรรักษาด้วยการฝังเครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)

เป็นเครื่องมือขนาด 4-5 เซนติเมตร ที่ช่วยส่งพลังงานไฟฟ้าไปกระตุ้นหัวใจ ในขณะที่การรักษาผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง ที่ให้ผลดีที่สุดคือการส่งไฟฟ้าพลังงานสูงผ่านหัวใจ เพื่อให้สัญญาณไฟฟ้าหัวใจกลับมาปกติในทันที ซึ่งก็มีเครื่องช็อกไฟฟ้าหัวใจอัตโนมัติ ชนิดผ่าตัดฝังติดตัวผู้ป่วย ลักษณะคล้ายเครื่อง Pacemaker แต่มีขนาดใหญ่กว่า 2 เท่า นอกจากนี้ ยังมีวิธีการจี้ด้วยไฟฟ้าผ่านคลื่นเสียงความถี่สูง วิธีนี้เป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด โดยผ่านสายสวนหัวใจชนิดพิเศษที่มีขั้วโลหะที่ส่วนปลาย

ศ.นพ.เกียรติชัยยังแนะนำผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยว่า ควรหมั่นดูแลสุขภาพตนเอง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ แอลกอฮอล์ หรือยากระตุ้นบางชนิดที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ ถ้าไม่แน่ใจควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อนรับประทานยา เพื่อไม่ให้จังหวะหัวใจของคุณสะดุดลงก่อนวัยอันควร


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ