วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เครื่องดื่มบำรุงกระดูก


เครื่องดื่มบำรุงกระดูก
กินดี ช่วยแก้ปวดหลัง



ส่งท้ายสัปดาห์ที่ว่าด้วยเรื่องปวดหลัง ‘กินดี’ เตรียม สูตรเครื่องดื่มบำรุงกระดูกมาให้คุณผู้อ่านลองนำไปผสมดื่มด้วยตนเอง เพราะสารอาหารจากผักและผลไม้ที่รวมอยู่ในเครื่องดื่มมากคุณประโยชน์แก้วนี้ ได้จาก ‘บร็อกโคลี’ ที่อุดมไปด้วยไฟโตเคมิคอล ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต สารต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ‘แอปเปิ้ลเขียว’ ช่วย ลดความตึงเครียด เพราะมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และ บี6 ทั้งยังมีกรดมาลิก แทนนิก เส้นใบเพ็กติน ช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหาร-ลำไส้ และช่วยลดไข้ บรรเทาอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ



นอกจากนี้ยังมี ‘คะน้า’ สรรพคุณช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ แก้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะมีวิตามินบี2 ขณะที่ ‘ผักชีฝรั่ง’ ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง เมื่อเกิดแผลยังช่วยให้เลือดหยุดไหลได้เร็ว ส่วน ‘ขึ้นฉ่าย’ เป็นผักที่ช่วยบำรุงตับ แก้ร้อนในและความดันโลหิตได้



ส่วนผสมต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น จะต้องเตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้...



บร็อกโคลี 1 ถ้วย

ผักชีฝรั่ง 1/2 ถ้วย

คะน้า 1/2 ถ้วย

แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย

ขึ้นฉ่าย 1/2 ถ้วย

น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย



สำหรับ ขั้นตอนในการผสมเครื่องดื่มบำรุงกระดูก เริ่มจากล้างผักและผลไม้ทั้งหมดให้สะอาด นำบร็อกโคลีหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ซอยผักชีฝรั่งและขึ้นฉ่ายจนละเอียด ส่วนคะน้านำไปบุบพอแตกแล้วจึงไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ แล้วพักไว้



หัน ไปหั่นแอปเปิ้ลเขียวเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า และนำไปปั่นรวมกันกับส่วนผสมที่สกัดเตรียมไว้ด้วยเครื่องปั่น สามารถเติมน้ำแข็งป่นเพื่อความเย็นสดชื่นแล้วดื่มได้ทันที หากน้ำผักและผลไม้มีลักษณะข้นเกินไป ให้เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยเจือจาง

ข่าวสารจาก: http://www.thaihealth.or.th/node/12949

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า


กินผลไม้ให้ถูกเวลา…มากคุณค่า




ประเทศเรามีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาด ตลอด ทั้งปี ราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้แช่เย็นจากแดนไกล ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก

คนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะจะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่ากินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็นเรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว



นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ย ถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและ หัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่าง กายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป

กินผลไม้ตอนท้องว่าง…ได้ประโยชน์สูงสุด ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออก จากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูก วิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้า สู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อย ประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจาก อาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย




เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวยอยู่เสมอ


ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญ ที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติ เท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย




ข่าวสารจาก: http://www.vcharkarn.com/varticle/40120

วิธีการพักสายตา จากการใช้ คอมพิวเตอร์


วิธีการพักสายตา จากการใช้ คอมพิวเตอร์

คนเราส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากๆ มีบางครั้งล้าสายตาหรือปวดตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาอักเสบ วิธีการช่วยบรรเทาการปวดตา
1. หลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5 นาที
2. ออกไปสูดอากาศหายใจจะได้ผ่อนคลายไปในตัว
3. มองดูอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้ สนามหญ้า ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ ที่มองแล้วสบายหูสบายตา วิธีนี้ส่วนมากใช้ได้ผล 70%
4. หาอุปกรณ์ เช่น แว่น ฯลฯ


เมื่อเทคโนโลยีมันก้าวมาถึงขีดที่คอมพิวเตอร์ซึ่งเคยแสนวิเศษ กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ธรรมดาๆ ที่จำเป็นต้องมีของทุกหน่วยงาน

ทุกคนต้องใช้ได้ใช้เป็น และเรากำลังหลงใหลได้ปลื้มกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ จนลืมนึกถึงพิษภัยที่มันมากับคอมพิวเตอร์ แม้จะไม่ใช่ทางตรงทีเดียวกันก็ตาม พิษภัยนี้มีไว้สำหรับท่านที่นั่งใช้อยู่หน้าจอเป็นประจำเท่านั้น โดยเฉพาะท่านที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอเกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน จากการนั่งทำงานเป็นประจำ ผลกระทบต่อสุขภาพเบื้องต้นที่แน่ๆ ก็คือ ปวดหลัง ปวดไหล่ ต้นคอ และข้อมือ เกิดอาการเครียดที่ตา เพราะขณะมองจอนั้นผู้ใช้มักไม่กะพริบตา เป็นผลให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการที่ตามมาคือตาพร่าและมองไม่เห็นชั่วคราว นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการไมเกรนพ่วงมาด้วย


ปัญหาทางตาเป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก เพราะเมื่อตาเกิดความเครียดกล้ามเนื้อตา จะบีบรัดเลนซ์ตาจนเกิดความเมื่อยล้า หมอจึงแนะนำว่า ถ้าต้องใช้สายตาอยู่กับจอนานๆ ควรพักสายตาทุกสิบนาที

ด้วยการเปลี่ยนไปมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปสัก 20 ฟุต มองสัก 2-3 นาทีแล้วค่อยมองจอต่อ จักษูแพทย์ได้แนะให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ต้องพักสายตาให้มองไกลทุก 10 นาที และท่านที่มีปัญหาสายตาสวมแว่นอยู่แล้วนั้น ถ้าต้องมารับหน้าที่อยู่หน้าจอนานๆ ควรมีแว่นตาเฉพาะสำหรับงานหน้าจอนี้ด้วยอีกอันหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากแว่นตาที่ใช้ยามปกติ ส่วนจะแตกต่างอย่างไร คงต้องปรึกษาจักษุแพทย์ และในขณะเดียวกันท่านเหล่านี้ควรได้รับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ เพื่อให้ได้ขนาดเลนซ์ที่เหมาะสม


นอกจากนี้ เพื่อเป็นการถนอมสายตาที่ยังไม่มีปัญหา


ท่านไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่มีสีสว่างขณะนั่งหน้าจอ เพราะสีของเสื้อจะไปทำให้เกิดแสงสะท้อนบนจอภาพได้ และแสงสะท้อนนี้แหละที่จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้ากว่าปกติ และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาเมื่อยล้าได้คือ ถ้าแสงจากจอสว่างน้อยกว่าแสงโดยรอบ ข้อนี้ผู้จัดสำนักงานควรจะมีความรู้ด้วย ทั้งหมดคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์เองที่จะเป็นผู้รับผิดชอบสุขภาพของตนเอง เพราะถ้าเกิดปัญหาสายตาขึ้น จะไปเรียกร้องเงินทดแทนก็คงทำได้ยาก

มาดูแลรักษาระบบเบรกกันเถอะ


จะเกิดอะไรขึ้นหากระบบเบรกไม่ทำงาน? และเพื่อเป็นการถนอมให้เบรกมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น มีประสิทธิภาพดีอยู่ตลอดเวลา เราจึงควรรู้วิธีดุแลรักษาที่ถูกต้อง

การตรวจสอบและเติมน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเบรก ฉะนั้น จึงควรตรวจสอบให้อยู่ในระดับที่พอดีเสมอ หากปล่อยให้น้ำมันเบรกแห้งหรือรั่วไหลออกไปหมดหรือเหลือน้อย การเบรกอาจไม่มีประสิทธิภาพจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ขั้นตอนการเติมน้ำมันเบรก

เปิดฝากกระโปรงรถแล้วตรวจเซ็กระดับของนำมันเบรกในถ้วยน้ำมันเบรก ซึ่งซึ่งจะติดกับกับบริเวณตัวถังในส่วนที่ติดกับกระจก ถ้าน้ำมันเบรกในถ้วยอยู่ในระดับ Max ก็ยังไม่ต้องเติมน้ำมันเบรก แต่ถ้าอยู่ในระดับ Min ต้องเติมน้ำมันเบรกให้ถึง Max
ห้ามเติมน้ำมันเบรกเกินระดับ Max เพราะจะทำให้น้ำมันเบรกกระฉอกเวลารถวิ่ง ซึ่งน้ำมันเบรกจะทำปฎิกิริยากับสีรถหรือบริเวณใกล้เคียงให้เสียหายได้
ก่อนปิดฝาน้ำมันเบรกให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณฝาปิด – เปิดให้สะอาด เพื่อป้องกันเม็ดทรายหรือละอองต่างๆ ตกลงไป ซึ่งอาจทำให้ระบบเบรกเสียหายได้
ปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าลืม ก่อนปิดฝาต้องทำความสะอาดบริเวณฝาปิดถ้วยน้ำมันเบรกด้วย
การดูแลรักษาระดับน้ำมันเบรกและเติมน้ำมันเบรกให้ทุกๆ 3 วัน อย่าทิ้งให้นาน เพราะปริมาณน้ำมันเบรกจะลดลงในการใช้งานทุกครั้งจึงต้องหมั่นดูแลเข้าในใส่
ข้อควรระวัง นำมันเบรกสามารถทำปฏิกิริยากับสีรถได้ ฉะนั้น เมื่อหากทำหกหรือหยดลงบริเวณตัวถังรถควรเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยไว้เพราะจะทำให้สีถลอกได้ แล้วห้ามวางขวดน้ำมันเบรกบนฝากระโปรงรถ ควรจะมีการเช็กถึงคุณสมบัติของน้ำมันเบรกเมื่อรถวิ่งไปได้ประมาณ 10,000 กิโลเมตร และเกทุก 10,00 กิโลเมตร จนถึง 40,000 กิโลเมตร จึงถ่ายน้ำมันเบรกเก่าออกแล้วเติมน้ำมันเบรกใหม่ลงไปแทนที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก

ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa

12 Tips ฝึกนิสัยการอ่าน ง่ายนิดเดียว!


12 Tips ฝึกนิสัยการอ่าน ง่ายนิดเดียว!
หลายๆ คนคงประสบปัญหาว่า มีหนังสือที่ซื้อมามากมาย แต่ยังอ่านไม่หมดซักที เพราะเวลาจะอ่านหนังสือแทบไม่มี บางคนก็ดองไว้นานจนลืมไปแล้วว่า เอ เคยซื้อเล่มนี้มาด้วยเหรอ??? พอยังอ่านเล่มที่มีไม่หมด หนังสือเล่มใหม่ที่น่าสนใจก็ออกมาอีกแล้ว จะทำยังไงดีนะ ?

1.วางแผนเรื่องเวลา วางแผนไว้เลยว่าเราจะอ่านหนังสืออย่างน้อยครั้งละ 5-10 นาที ทำให้เป็นนิสัยที่จะอ่านหนังสือระหว่างทานอาหาร ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน หรือเย็น (โดยเฉพาะเวลาที่ทานอาหารคนเดียว) รวมทั้งเวลานอน นั่นเท่ากับคุณมีเวลาถึง 4 ครั้งต่อวัน หรือเท่ากับ 40 นาทีต่อวันเลยทีเดียว

2.มีหนังสือไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ก่อนออกจากบ้าน ติดเอาหนังสือไปกับคุณด้วยสิ ไม่ว่าจะไปออฟฟิศ ไปเรียน นัดเจอเพื่อนซี้ ทำธุระที่ธนาคาร ไปหาหมอฟัน ฯลฯ เวลานั่งรอ ก็หยิบหนังสือออกมาอ่านได้เสมอ แถมทำให้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย

3.จัดทำลิสต์รายการหนังสือ เก็บลิสต์รายการหนังสือดีๆ ทั้งหมดที่ต้องการจะอ่านเอาไว้ แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกประจำวันของเรา, ในสมุดโน้ต หรือในโฮมเพจส่วนตัวก็ได้ พออ่านเสร็จ ก็แค่ขีดฆ่าเล่มที่เราอ่านแล้ว เท่านี้ก็สามารถจัดการลำดับในการอ่านหนังสือได้อย่างง่ายดาย

4. เก็บบันทึกเหตุการณ์ เหมือนกับลิสต์รายการอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่การบันทึกแค่ชื่อหนังสือ และผู้แต่งหนังสือที่เราอ่านเท่านั้นนะ แต่รวมถึงวันที่เริ่มอ่าน และวันที่อ่านจบ และถ้าจะให้ดี บันทึกสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ด้วย เวลาย้อนกลับมาอ่านจะได้จำได้ไงล่ะ

5.ค้นหาสถานที่เงียบๆ ค้นหาสถานที่ในบ้าน ที่เราจะสามารถนั่งเก้าอี้ที่แสนสบาย (ไม่ใช่การนอนลงนะ เว้นว่าเราอยากจะนอนหลับ!!) และเอนตัวลงกับหนังสือดีๆ ได้ โดยปราศจากการรบกวนหรือขัดจังหวะ ซึ่งนั่นควรจะไม่มีโทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ใกล้ๆ ที่จะทำให้ไขว้เขวไปได้ และต้องไม่มีเพลง หรือสมาชิกในครอบครัว, เพื่อนร่วมห้องที่ส่งเสียงดัง แต่ถ้าไม่มีสถานที่แบบนี้ ลองค้นหาให้เจอสิ อย่างเช่น ร้านกาแฟเล็กๆ ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะที่เงียบๆ ลมเย็นๆ ก็ได้ …แค่นี้ก็ได้อ่านหนังสืออย่างมีความสุขแล้ว

6.ลดการดูทีวี หรือเล่นอินเตอร์เน็ต ถ้าคุณต้องการอ่านหนังสือให้มากกว่านี้จริงๆ ลองตัดการบริโภคทีวีหรืออินเตอร์เน็ตลง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับหลายๆ คน แม้ในตอนนี้ คุณก็สามารถอ่านหนังสือแทนการเล่นอินเตอร์เน็ตนะ! แค่นี้ก็สามารถสรรสร้างช่วงเวลาแห่งการอ่านหนังสือได้แล้ว

7.มีวันแห่งห้องสมุด ทำให้เป็นนิสัยในการเดินทางสำหรับทุกอาทิตย์ ด้วยการไปห้องสมุด นอกจากจะสามารถหยิบหนังสือของเราติดมือไปอ่านได้แบบเงียบๆ สบายๆ แล้ว ในนั้นยังมีหนังสือน่าอ่านตั้งมากมายรอให้เราไปค้นหา แทนที่จะไปเดินช้อปปิ้ง หรือนอนพักผ่อนเฉยๆ อยู่บ้าน ก็ไปห้องสมุด แล้วหาหนังสือถูกใจอ่านกันเถอะ เพราะนอกจากได้อ่านหนังสือในบรรยากาศเงียบๆ สมใจแล้ว ยังได้อ่านฟรีอีกต่างหาก…คุ้มแสนคุ้ม!

8.อ่านหนังสือที่สนุกๆ และกระตุ้นความสนใจได้ ค้นหาหนังสือที่น่าสนใจจริงๆ สำหรับคุณ แม้ว่าหนังสือพวกนั้นจะไม่ใช่วรรณกรรมระดับมาสเตอร์พีซ แต่ทำให้เราอยากอ่านมันได้ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ หลังจากนั้น เราก็สามารถเปลี่ยนไปอ่านอะไรที่มันยากขึ้นได้ แต่สำหรับตอนนี้ มุ่งไปสู่สิ่งที่ทำให้สนุก และสิ่งที่น่าสนใจดีกว่านะ อย่างนิยายโรแมนติกคอเมดี หรือ ซีรีส์สืบสวนหรรษา ที่เรียกเสียงฮาได้ตั้งแต่ต้นจนจบนั่นไง

9.ทำให้การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน ทำให้การอ่านหนังสือของเราเป็น ช่วงเวลาที่น่าโปรดปราน อย่างการจิบชาดีๆ หรือจิบกาแฟในช่วงเวลาที่อ่านหนังสือ มีเก้าอี้ที่แสนสบาย หรือจะเลือกช่วงเวลาในการอ่านหนังสือระหว่างช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตก หรือไปนอนเอกเขนกที่ชายหาด ก็ย่อมจะช่วยสร้างบรรยากาศให้เราเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ

10.บันทึกเรื่องราวการอ่านหนังสือลงไปใน Blog เป็นอีกหนึ่งในเคล็ดลับที่ดีที่สุดที่จะ สร้างนิสัยในการอ่าน คือการบันทึกเรื่องราวลงใน Blog ของเรา จะเป็น Hi5, Facebook, Multiply หรืออะไรก็แล้วแต่ นอกจากจะสามารถอธิบายความคิดของเราเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ได้แล้ว คนอื่นๆ ยังสามารถให้คำแนะนำเราเกี่ยวกับหนังสือ และแสดงความคิดเห็นในหนังสือบางเล่มที่เรากำลังอ่านได้อีกด้วย

11.วางแผนเป้าหมายสูงสุด บอกตัวเองว่า เราต้องการอ่านหนังสือจำนวน 50 เล่มในปีนี้!! (หรือตัวเลขอื่นๆ ประมาณนั้น) หลังจากนั้น วางแผนที่จะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ แต่ต้องแน่ใจว่าเราจะยังคงสนุกกับการอ่านอยู่ ไม่ต้องรีบเร่ง เพราะเป้าหมายจริงๆ ของเราก็คือ การอ่านหนังสือที่เคยซื้อเอาไว้ให้หมดนี่นา…

12.มีชั่วโมงการอ่าน หรือวันแห่งการอ่าน ถ้าปิดทีวี หรืออินเตอร์เน็ตตอนเย็นๆ เราก็สามารถวางแผนเวลา (บางทีแค่หลังทานข้าวเย็น) เมื่อเราและสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดอยู่ด้วยกัน ถ้าทำให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมกับเราได้ในการอ่านหนังสือได้ ก็จะสนุกสุดๆ ไปเลย!!!

*เรียบเรียงจาก http://www.lifehack.org

รอบรู้เรื่องมีด


‘มีด’ ของใช้ มีคม ที่มักประจำการอยู่ตามห้องครัว มีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท มีแบบไหนใช้งานอย่างไรให้ถูกวิธี วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก…

- มีด มีทั้งที่ทำจากเหล็กสแตนเลสและทองเหลือง ควรเลือกมีดที่ทำจากเหล็กเนื้อดีไม่เป็นสนิมด้ามทำจากเนื้อเหล็กอย่างดีติดแน่นกับตัวมีด

- มีดอีโต้ ใช้ในการสับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ

- มีดปลายแหลมมีหลายแบบ ไว้ใช้หั่นผัก ใช้ปอกผลไม้ และมีดปลายแหลมเล็กๆโค้งๆ ไว้สำหรับแกะสลักผลไม้และผักต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม

- มีดต่างๆ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็จะหมดความคมต้องทำการลับด้วยหินลับมีดซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหนา

- วิธีลับ คือ ให้วางหินลับมีดชนิดก้อนสี่เหลี่ยมหนาไว้หินบนผ้าเพื่อไม่ให้หินเลื่อน วางปลายมีดบนหินมือขวาจับด้ามมีดมือซ้ายกดให้คมถูออกไปตามหินกดให้น้ำหนักเบาและเสมอกันสุดปลายมีดทำอย่างนี้ด้านละ 3-4 ครั้ง

- การใช้มีดให้คมนาน คือ อย่าใช้มีดหั่นของที่ร้อนจัดบ่อย ๆ เพราะจะทำให้มีดหมดความคมได้ง่ายเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ต้องทำความสะอาดเช็ดให้แห้งแล้วจึงเก็บเข้าที่

เพียงเท่านี้ ก็จะมีมีดคม ๆ ไว้ใช้ได้อีกนาน.

ที่มา เดลินิวส์

การรักษาสีรถ


คนรักรถ ที่ไม่อยากให้สีรถหลุดลอกง่าย ๆ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีรักษาสีรถมาบอก…

- ไม่ควรจอดรถไว้ใกล้ ๆ กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยสารเคมี เช่น โรงงานผลิตอาหารสัตว์ โรงงานผลิตสารเคมี เพราะฝุ่นละอองจากอาหารสัตว์หรือสารเคมี ที่ปลิวมาติดผิวสีของรถอาจจะเป็นกรดหรือด่างเข้มข้นสามารถกัดสีให้เป็นจุดเป็นดวงได้หรือทำให้สีอ่อนตัวลงได้

- ควรพยายามจอดรถในที่ร่มหรือที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก พื้นไม่อับชื้น หากจำเป็นต้องจอดกลางแดดควรใช้ผ้าคลุม

- เมื่อขับรถผ่านบริเวณที่มีฝุ่น โคลน หรือชายทะเลเป็นเวลานานๆ ควรล้างฝุ่น โคลนหรือคราบต่างๆ ออกให้หมดเพราะคราบเหล่านี้ สามารถดูความชื้นได้ดี จึงทำให้ผิวสีเสื่อมคุณภาพได้ง่าย และบางครั้งสิ่งสกปรกที่เกาะติดผิวสีรถก็เป็นสารเคมีที่ทำอันตรายต่อสีรถด้วย

- อย่าทำให้รถเกิดรอยขีดข่วนหรือหลุดร่อนเพราะจะทำให้ตัวรถผุและจะลามออกเป็นบริเวณกว้างทั้งนี้เพราะรอยขีดข่วนจะไม่สามารถป้องกันความชื้นระหว่างผิวสีกับผิวโลหะได้

- หากมีคราบน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ เปื้อนผิวสี ต้องรีบล้างออกทันที โดยใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด หรือ ผสมสบู่อ่อนๆ หรือ แชมพูสำหรับล้างรถก็ได้ ห้ามใช้ทินเนอร์ น้ำมัน หรือ สารเคมีใดๆ ทำความสะอาดสีรถโดยเด็ดขาด สารเคมีที่มีโอกาสจะถูกสีรถได้ง่ายก็คือ น้ำมันเบรกซึ่งจะกัดสีในทันทีที่สัมผัสกับสีรถ การใช้จึงต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และ น้ำหอมประจำรถก็มีผลต่อสีรถเช่นกัน หากหกเลอะรถควรรีบใช้ผ้านุ่มที่สะอาดเช็ดออกโดยเร็วและล้างด้วยน้ำ

- สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ควรจะเคลือบสีทุกครั้ง หลังจากการล้างรถ เพื่อป้องกันสิ่งต่าง ๆ ที่จะมาทำลายสีรถ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการขัดเคลือบสี ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการเคลือบสี

เพียงเท่านี้ก็สามารถรักษาสีรถไม่ให้หลุดลอกได้ง่าย.

ที่มา เดลินิวส์

วิธีรักษาเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ


ใครที่ประสบปัญญาเท้ามีกลิ่นเหม็น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีการดูแลรักษาเท้าให้สะอาดมาบอก…

เริ่มจาก ควรล้างเท้าอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะบริเวณง่ามนิ้วเท้า ควรใช้สบู่เด็กหรือผลิตภัณฑ์รักษาความสะอาดโดยเฉพาะ เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นแหล่งรวมของเชื้อรา

ควรประณีตกับการล้างเท้า โดยการใช้หินลอย มาขัดหนังที่แข็งกระด้างออก และอย่าลืมเช็ดเท้าให้แห้งสนิท

เมื่อเท้ามีอาการปวดเมื่อยจากการเดิน ให้นำเท้าแช่ไปในน้ำอุ่นผสมเกลือ ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นแช่ในน้ำเย็นอีกประมาณ 2-3 นาที ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและทำให้ผิวเท้านุ่มขึ้นอีกด้วย

สุดท้าย ควรทาครีมที่เท้าเป็นประจำ เพื่อรักษาผิวให้มีความชุ่มขึ้นอยู่เสมอ

อยากมีสุขภาพเท้าที่ดี ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้.

ที่มา เดลินิวส์

วิธีปลูกมะนาว




บ้านไหนที่อยากปลูกมะนาวไว้รับประทานเอง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการปลูกมาบอก…

การปลูกมะนาวควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน โดยเริ่มจากการขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร จากนั้นผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันใส่ไปในหลุมให้ สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม เสร็จแล้วให้ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย ใช้มีดกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน ดึงถุงพลาสติกออก ระวังอย่าให้ดินแตก กลบดินที่เหลือลงในหลุม กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น

ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมพัดโยก หาวัตถุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง และรดน้ำให้ชุ่ม สุดท้ายทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด

เพียงเท่านี้ ก็สามารถปลูกมะนาวไว้รับประทานเองที่บ้านได้แล้ว.

ที่มา เดลินิวส์

อะไรอยู่ในยอดผัก




ผักบุ้ง
ยอกผักบุ้งเป็นที่รวมของวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซีและใยอาหาร บำรุงสายตาดีนักแล

ผักกระเฉด
คนไทยเรากินผักกระเฉดกันมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าผักกระเฉดมีแต่วิตามินตัวเก่งๆ ทั้งนั้น ทั้งธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ที่สำคัญมีเบต้าแคโรทีน อาหารของผิวสวยรวมอยู่ด้วย คนไทยสมัยก่อนตากแดดทั้งวันแต่ไม่ค่อยเป็นกระ สงสัยเพราะผักกระเฉดช่วยไว้

ชะอม
ไข่ทอดชะอมที่หลายๆคนโปรดปรานจะทำให้คุณได้ทั้งโปรตีนและวิตามินซี ของดีทูอินวันอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ ขอบอก

ยอดมะขาม
เปรี้ยวนิดๆ แต่เคี้ยวเพลินเหมาะจะจิ้มกับน้ำพริก คือนิยามของยอดมะขาม ยิ่งถ้าเป็นหวัดจะช่วยให้หายเร็วมากขึ้น เพราะในยอดของมะขามมีวิตามินซีล้นเหลือ มะนาวเรียกปู่เลยเชียวล่ะ

ยอดกระถิน
ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็ง รีบไปหามากินซะนะ เพราะเจ้ายอดกระถินอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ศัตรูตัวร้ายของมะเร็งกลัว แต่คนแซบๆอย่างเรา และผู้หญิงที่กำลังมีรอบเดือน ถ้ากินแล้วจะได้ธาตุเหล็กกลับไปสร้างเม็ดล์อดได้อีกเยอะ

ยอดมะพร้าว
เรื่องความอร่อยคงรู้ๆกันอยู่ แต่นอกจากจะหอเจี๊ยะแล้ว ยอดมะพร้าวยังมีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีสูงมากๆ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงอีกด้วย

ตำลึง
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินซี ความดีแค่นี้พอหรือยัง สำหรับตำลึงเป็นของดีคู่ครัว

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยาสาร Spicy

ปวยเล้ง-ผักป๊อบอาย


ป๊อบอาย” เป็นตัวละครการ์ตูนพระเอก มีอาชีพกะลาสีเรือ มีแฟนชื่อ โอลิฟออยล์ และมีคู่ต่อสู้ตัวร้าย ชื่อ บลูโต ละครแต่ละตอนมักมีการแย่งนางเอกโอลีฟระหว่าพระเอกกับตัวร้าย ป๊อบอายมีรูปร่างผอม ส่วนบลูปโต กล้ามใหญ่ ฉะนั้นการต่อสู้ พระเอกมักพลาดพลั้ง แต่เมื่อกินผักปวยเล้ง ก็จะเพิ่มพลัง และต่อสู้ชนะ และแย่งโอลีฟได้

ปวยเล้ง มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียและแถบอัฟกานิสถาน ลักษณะใบใหญ่เขียว มีจำนวนใบประมาณ 25 ใบต่อต้น มีก้านเล็กและสั้นต้นขนาดสูง 25-45 เซนติเมตร เจริญได้ดีที่อากาศเย็น ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ปลูกมากที่สุดในโลก ซึ่งประมาณร้อยละ 75 ของพื้นที่ผลิตได้ใช้แปลรูปเป็นปวยเล้งกระบองและแช่แข็ง ราคาถึง 180 บาท ต่อกิโลกรัมทีเดียว
ปวยเล้งมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญอันประกอบไปด้วยโปรตีน คาร์โบโฮเดรท กรดโฟลิก วิตามิน บี ซี ดี อี เค แล้วยังประกอบไปด้วยแคลเซียมและธาตุเหล็กที่ดูดซึมได้ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือด ถอนพิษสุรา ช่วยให้ลำไส้และกระเพราะอาหารทำงานดีขึ้น กระตุ้นการหลั่งสารอินซูลิน ช่วยย่อยอาหารและยังช่วยป้องกันโรคตาบอดกลางคืนได้อีกด้วยปวยเล้งนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายและอร่อย ไม่ว่าจะเป็น ลวก ผัด หรือนำไปทำไส้ขนมเบเกอรี่ก็อร่อยมาก เนื้อสัมผัสนิ่มของผักเหมาะกับผู้สูงอายุและเด็ก

กลุ่มงานวิชาการหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์บัณฑิต (ต่อเนื่อง) ภาคพิเศษ
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาลัยมหิดล

ที่มา : เดลินิวส์

เรื่องขององุ่นแดง


องุ่นแดงมีสีตั้งแต่แดงเรื่อๆ จนแดงเข็มเหมือนกับดำ เช่นองุ่นพันธุ์ black pearl เป็นต้น สีแดงนั้นเป็นเม็ดสีและมีอยู่ที่ผิวองุ่นพันธุ์เท่านั้น และผิวองุ่นมีน้ำหนักเฉลี่ยเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล หากคั้นน้ำองุ่นแดงจะได้น้ำที่ปราศจากสีเจือปนสีแดงขององุ่นเป็นสารสีแอนโธชัยนิน ซึ่งเป็นกลุ่มสารฟินอลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยเชื่อว่าจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งและซะลอความแก่เป็นต้น องุ่นแดงที่ใช้ทำไวน์จะมีสารดังกล่าวอยู่ 1.0 ถึง 2.8 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่น ซึ่งสูงกว่าองุ่นแดงที่รับประทานสดที่มีอยู่เพียง 0.07 ถึง 0.15 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่นสดเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ได้รับสารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ครั้งต่อไปควรรับประทานองุ่นสีแดงเข้มและควรเคี้ยวเปลือกองุ่นให้แหลกเพื่อปลดปล่อยสารแอนโธชัยนินออกมาให้มากที่สุด

โครงการเผลแพร่ความรู้และผลงานวิชาการผ่านสื่อหนังสือพิมพ์
คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เชื่อหรือไหม…เปลือกไข่มีประโยชน์


ประโยชน์ที่ส่าไม่ไช่หมายถึงการเอาเปลือกไข่ไปทาสีวาดหน้าตาเป็นตัวตลกเล่น แต่เป็นประโยชน์ที่ร่างกายจะได้พลังงานจากการกินเจ้าเปลือกเข้าไป ด้วยการเอาเปลือกไข่มาล้างให้สะอาดย่างให้ร้อนแล้วตำบดจนแห้งเป็นผง (หรือถ้าใครกว่ามันดำก็เปลี่ยนเป็นอบแทน) จากนั้นก็เอาไปหุงปนข้าว คุณจะได้ข้าวที่เสริมแคลเซียมมาอย่างดี เหมาะสำหรับเด็กคนแก่ และคนที่ทำงานอย่างหนักทุกคน

การเปลี่ยนแปลงคุณภาพของไข่ไก่ระหว่างการเก็บรักษา


ไข่ไก่เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งไข่ที่มีคุณภาพดีย่อมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามหลังจากที่ไข่ไก่ออกจากแม่ไก่แล้ว คุณภาพของไข่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของไข่สามารถสังเกตได้จาดองค์ประกอบของไข่ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาการเก็บรักษา ลักษณะที่พบได้ในไข่เก่ามีดังต่อไปนี้ ในกรณีของไข่แดง พบว่า ไข่แดงขยายตัวใหญ่ขึ้น ซึ่งเกิดจากการแครื่อนที่ของน้ำในไข่ขาว ซึ่งมีปริมาณน้ำมากกว่าไปยังไข่แดงที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า ทำให้เยื่อหุ้มไข่แดงฉีกขาดออก ดังนั้นในไข่เก่าจะแยกไข่ขาวกับไข่แดงออกจากกันได้ยาก และเมื่อตอกไข่เก่าลงบนพื้นจะเห็นว่าไข่แดงมีลักษณะแบนราบกว่าปกติ ขณะที่ไข่ขาวเปลี่ยนจากลักษณะข้นกลายเป็นเหลว เนื่องจากเอนไซม์ในไข่ขาวย่อยโปรตีนให้เป็นลิกุลที่เล็กลง นอกจากนี้ไข่ข่าวยังมีความเป็นด่างเพิ่มขึ้น เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เสียไปทางรูเปลือกไข่ ทำให้ไข่มีความเป็นกรดลดลง จุลินทรีย์เจริญได้ดีขึ้น ไข่จึงเกิดการเน่าเสียได้ง่าย อย่างไรก็ตามการเก็บรักษาไข่ให้อยู่ในสภาวะที่เมาะสม เช่นการเก็บในที่มีอุณหภูมิต่ำ (ในตู้เย็นที่ 4 – 5 องศาเซลเซียส) สามารถช่วยยืดอายุการเก็บรักษาไข่ให้ยาวนานขึ้นได้

ชมรมเทคโนโลยีทางอาหารและชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ดื่มแต่น้อย ดีต่อกระดูก


เครื่องดื่มแอลฮอล์มีผลเสียต่อหัวใจและนำไปสู่โรคมะเร็งได้หากมากเกินไป แต่การดื่มไม่เกินวันละ 2 แก้ว โดยเฉพาะไวน์และเบียร์จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผุ้สูงอายุได้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผู้สูงอายุได้ นักวิจัยจากมหาลัยทัฟท์สในบอสตันเปิดเผยว่า แอลกอฮอล์มีส่วนช่วยรักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกในชายและหญิงสูงวัย แต่ไม่พบความเกี่ยวข้องใดในหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน โดยไวน์นั้นดีสำหรับผู้หญิง เพราะมีซิลิคอนที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูก ทำให้กระดูกสันหลังและสะโพกแข็งแรงกว่าปกติ 5 – 8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเบียร์ดีสำหรับผู้ชาย เพราะอุดมไปด้วยพอลิฟีนอลที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และอาจช่วยไม่ให้กระดูกผุได้ 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเหล้านั้นไม่ดีกับใครเลย

ไขมันปลาอาหารสมอง

มีงานวิจัยน่าสนใจจากสวีเดนกล่าวว่า วันรุ่นชายที่บริโภคปลาไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละครั้งจะมีความฉลาดทั้งทางสมองและอารมร์มากขึ้น

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากับผู้ชายวัย 15 – 18 ปี จำนวน 5,000 คน พบว่าผู้ที่กินปลาเป็นประจำโดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า – 3 ในปริมาณสูง อย่างเช่น ปลาแซลมอนแมคเคอเรล หรือทูน่า จะมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าคนที่ไม่ค่อยกินปลา โดยวัดจากคะแนนการทำข้อสอบ

ผู้วิจัยกล่าวว่า ช่วงวันรุ่นตอนปลายเป็นวัยที่สมองส่วนความจำ อารมณ์ และการเข้าสังคมมีการพัฒนาอย่างเต็มที่ สารอาหารที่จำเป็นต่อสมองอย่างโอเมก้า – 3 ในปลาจึงช่วยให้สมองเติบโตสมบูรณ์ และจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากมารดาบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยเมก้า – 3 ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์

เคล็ดลับดับเมาค้าง

ผลลัพธ์จากการฉลองอาจทำให้หลายคนตื่นเช้า พร้อมกับอาการมึน เมาค้าง สมองไม่แจ่มใส จะทำอย่างไรให้เช้านั้นกลับมาสดชื่นพร้อมสู้งาน ลองทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้

กินไข่ตุ๋นหรือซุปไก่ร้อนๆ จะมีกรดแอมีโนที่ชื่อว่าซิสเทอีน (Cysteine) ที่นอกจากจะช่วยบรรเทาหวัดและลดอาการระคายคอแล้ว ยังออกฤทธิ์ลดอาการเมาค้างได้อย่างซะงัดนัก หรือจะเป็นกล้วยหอมปั่นผสมน้ำผึ้งที่มีโพแทสเซียมและน้ำตาลฟรักโทส ช่วยให้สมองสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่อย่าเผลอใส่น้ำผึ่งมากเกินไปจนหวานจัด เพราะจะทำให้ง่วงนอนได้

หากไม่มีเวลาเตรียม 2 เมนูด้านบน จะลองใช้วิธีพื้นฐานอย่างการกินผลไม้รสเปรี้ยวก้ได้ผลดีเช่นกันแต่ท่างออกที่ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองดื่มเพลินจนเกินไปจะดีกว่า

ที่มา : นิตยสาร Heath & Cuisine

น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันดีที่ไม่ธรรมดา

กระแสลดความอ้วนช่วงนี้กำลังได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้อ้วนกันได้ง่ายคงเป็นเรื่องของการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภททอดที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าประกอบของน้ำมันอยู่สูง

การเลือกใช้น้ำมันในการประกอบอาหารจึงเป็นเรื่องที่ต้องการมีความพิถีพอถัน เพราะน้ำมันแต่ละชนิดให้ไปมันไม่เหมือนกัน หลายคนอาจมองว่าน้ำมันคงเหมือนกันหมดมีองค์ประกอบของไขมันที่ทำให้เกิดโรคอ้วนหรือเบาหวานได้ง่าย ความจริงแล้วน้ำมันมีองค์ประกอบแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ไขมันมีทั้งชนิดที่ดีและเลว การเลือกน้ำมันจึงมีความสำคัญ การเลือกใช้น้ำมันที่ดีจะช่วยยืดคุณภาพชีวิตให้กับคุณ

น้ำมันคุณภาพที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นน้ำมันมะกอกแห่งตะวันออกอย่าง “น้ำมันเมล็ดชา” นับเป็นน้ำมันดีที่ไม่ควนมองข้าม เพราะจากการศึกษาวิจัยของวิทยาศาสตร์อาหาร พบว่า เป็นน้ำมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมันที่ดีต่างๆ ในปริมาณที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพและป้องกันโรคคือ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในตำแหน่งเดียวในรูปของกรดโอเมก้า 9 สูงมากถึง 78 – 81 % มีกรดไขมันอิ่มตัวหลายตำแหน่ง คือโอเมก้า 6 ประมาณ 13 – 28 % และมีโอเมก้า 3 ในรูปของกรดแอลฟาไลโนเอลิก ประมาณ 1-3 % ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้มีความสำคัญต่อการควบคุมความดัน การแข็งตัวของเส้นเลือดและการอักเสบ และช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย

นอกจากนี้ น้ำมันเมล็ดชายังมีคุณสมบัติพิเศษที่น่าสนใจ คือ มีจุดเดือดเป็นควันสูงถึง 252 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าน้ำมันมะกอกจุดเดือดเป็นควันที่สูงจะเกิดอนุมูลอิสระต่ำซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าน้ำมันที่มีจุดเดือดต่ำเป็นควันที่ต่ำ จึงเหมาะกับการใช้งานประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงมากๆ เช่น การทอด เพราะช่วยลดการเกิดอรุมูลอิสระในอาหาร

เมื่อเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันลองหันมาเลือกน้ำมันที่มีคุณค่าจากธรรมชาติก็ช่วยคุณได้รสชาติที่ดีควบคู่กันด้วย น้ำมันเมล็ดชาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง

ตารางแสดงองค์ประกอบของกรดไขมันในน้ำมันพืชชนิดต่างๆ

ชนิดของน้ำมัน % กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว จุดเดือดเป็นควัน(องศาเซลเซียส)
น้ำมันเมล็ดชา 78 % 252
น้ำมันมะกอก 75 % 161
น้ำมันคาโนล่า 61 % 204
น้ำมันรำข้าว 45 % 250
น้ำมันข้าวโพด 29 % 231
น้ำมันถั่วเหลือง 23 % 231
น้ำมันเมล็ดฝ้าย 19 % 230
น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน 16 % 232

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Yoga Journal

เมล็ดงาและน้ำมันงา


มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า มีการปลูกงามาตั้งแต่ยุตหรัปปันซึ่งเป็นหนึ่งอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในแถบลุ่มแม่น้ำสินุเมื่อราวสองพันปีก่อนคริสตกาล

ชาวฮินดูเชื่อว่าเมล็ดงาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ และมหาศรีเทวีซึ่งเป็นชายาของพระวิษณุเป็นตัวแทนของคุณสมบัติของเมล็ดงา ด้วยเหตุผลนี้จึงถือกันว่าน้ำมันงาเป็นน้ำมันที่เป็นมงคลที่สุดรองจาก “ฆี” (ghee) หรือเนยไส และถูกใช้ในพิธีกรรมและการสวดต่างๆ

คัมภีร์อายุเวทกล่าวถึงเมล็ดงาว่า มีรสขม ฝาด หวาน เผ็ดร้อน ย่อยยาก ชุมชื้น มีคุณสมบัติร้อน บำรุงกำลัง บำรุงผม บำรุงน้ำนม ดีต่อผิวหนัง ทำให้ฟันแข็งแรง และในบรรดาเมล็ดงา 5 ชนิด ซึ่งได้แก่ งาดำ งาขาว งาแดง งาป่า และงาเมล็ดเล็ก งาดำจัดว่าเป็นเลิศที่สุด โดยนอกจากสรรพคุณที่กล่าวมาแล้ว งาดำ งาขาว งาแดง ง่าป่า และ งาเมล็ดเล็ก งาดำจัดว่าเป็นเลิศที่สุด โดยนอกจากสรรพคุณที่กล่าวแล้ว งาดำยังมีสรรพคุณบำรุงอสุจิอีกด้วย

อาจเป็นด้วยประโยชน์และสรรพคุณมากหลายของเมล็ดงา ทำให้มีการใช้งาเป็นส่วนผสมในอาหารและทำเป็นขนมหลากหลายชนิดในวัฒนธรรมต่างๆ เกือบทั่วโลก เช่น ตะวันออกกลาง ตะวันออกไกล เอเชียตะวันออก จีน ญี่ปุ่น รวมทั่งในอินเดียซึ่งนอกจากเป็นส่วนผสมในอาหารและทำเป็นขนมชนิดต่างๆ แล้ว ยังใช้ในพิธีกรรมสักการะบุชามาแต่โบราณอีกด้วย

สตรีแห่งบาบิลอนในยุคโบราณรับประทานหัลวา (halva) ซึ่งทำมาจากน้ำผึ้งและเมล็ดงาเพื่อให้อ่อนเยาว์และเพื่อความสวยงาม ในขณะที่ทหารโรมันบริโภคเพื่อบำรุงและเสริมสร้างพลัง

คัมภีร์การแพทย์ของชาวทมิฬกล่าวถึงน้ำมันงาว่าเป็น “น้ำมันที่เป็นเลิศ” โดยมีโศลกซึ่งมีความหมายว่า “ใช้เพื่อบำรุงสำหรับผู้ที่ผ่ายผอม และใช้ทาเพื่อลดความอ้วนสำหรับผู้ที่น้ำหนักเกิน”

คัมภีร์อายุรเวทแนะนำว่าการอมน้ำมันงา จะช่วยให้ฟัน เหงือก และขากรรไกรแข็งแรงบำรุงเสียงและขจัดรอยเหี่ยวย่นบนแก้ม โดยอมน้ำมันงาอุ่นๆ ไว้ในปากสักครู่ และกลั้วไปมาแรงๆ ก่อนจะบ้วนทิ้ง

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Yoga Journal

9 ขั้นตอน พลิกโฉมตู้เสื้อผ้าในคอนเซ็ปต์ “หยิบใช้ง่าย – ไมรก”


ทราบหรือไม่ว่า ความเป็นระเบียบของตู้เสื้อผ้าส่งผลต่อสภาวะจิตใจของคุณถ้าตู้เสื้อผ้ารกรุงรัก คุณจะคุณจะรู้สึกสับสน แต่ถ้าตู้เสื้อผ้าจัดเรียงอย่างดี คุณจะผ่อนคลายและมีความมั่นใจ

ปีใหม่นี้ สร้างความรู้สึกดีๆ ด้วยการจัดตู้เสื้อผ้าตาม 9 ขั้นตอนง่ายๆ แบบไม่เครียด – ไม่เปลือง นอกจากคุณจะได้ตู้เสื้อผ้าใหม่ที่น่าใช้สุดๆ ยังช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาในการรื้อหาเสื้อผ้าใส่ทุกวัน

1. คำนวณงบประมาณ

ไม่ต้องถึงกับจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อหาซื้อตู้เสื้อผ้าใหม่หรือสร้างห้องแต่งตัวเพราะหลายสิ่งที่เรากำลังแนะนำต่อไปนี้คุณสามารถใช้วิธี DIY (Do It Yourself) หรือไปเลือกซื้อในราคาที่เหมาะสมกับงบในกะเป๋า

2. วัดขนาดของตู้เสื้อผ้า

ขนาดของตู้เสื้อผ้าจะกำหนดว่าคุณควรมีเสื้อผ้ามากน้อยแค่ไหน เริ่มด้วยการนำเสื้อผ้าทั้งหลายออกจากตู้ แล้วแยกประเภทเสื้อ กางเกง กระโปง เดรส จากนั้นวัด ความยาว ความสูง และความกว้างของตู้จดขนาดที่วัดได้ไว้สำหรับการซื้อชั้นวางตะขอ และของใช้อื่นๆ

ความกว้างทุกๆ 1 ฟุตจะใส่กางเกงขายาวได้ 12 ตัว เสื้อเชิ้ต 15 ตัว หรือแจ๊คเก็ต 6 ตัว เมื่อคำนวณแล้วคุณก็พอจะรู้ว่า สามารถใส่เสื้อผ้ากลับเข้าไปได้จำนวนเท่าไหร่

3. ใช้ทุกตางรางนิ้วอย่างคุ้มค่า

อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ช่วยให้ของทุกชิ้นอยู่ในที่ที่ควรอยู่

ลิ้นชักเตี้ยๆ หรือราวแขวน เป็นการใช้พื้นที่ว่างที่เหลือจากการแขวนชุดสั่นๆ ให้คุ้มค่า

คุณสามารถเลือกพับผ้าเก็บไว้ในลิ้นชัก หรือแขวนกางเกงหรือกระโปรงสั้นที่ราวด้านล่าง

ชั้นแขวน สำหรับพับเก็บเสื้อยืดหรือผ้าที่ไม่ยับง่าย ช่วยประหยัดพื้นที่

ชั้นวางของ ในตู้เสื้อผ้าส่วนใหญ่มักมีที่วางผ้าขนหนูหรือของอื่นๆ

ช่องหรือกล่องเก็บกระเป๋า สำหรับเก็บกระเป๋าไม่ให้เสียทรง

ตะขอ ติดตะขอ ไว้ที่ผนังตู้หรือที่ผนังห้อง (เลือกมุมที่ติดแล้วห้องไม่ดูรก) สำหรับแขวนผ้าพันคอ เข็มขัด หรือแม้แต่สร้อยเส้นยาว

4. โละ!

จัดการแบ่งเสื้อผ้าออกเป็น 3 กองได้แก่ กองสำหรับเก็บไว้ใช้ บริจาค และทิ้งโยนเสื้อผ้าที่เก่า ขาดใส่กองเสื้อผ้าทิ้งเสื้อผ้าที่ล้าสมัย ใส่ไม่ได้ หรือไม่ชอบแล้ววางไว้ในกองบริจาคหรือนำไปขายต่อ ส่วนเสื้อผ้าที่คุณรัก ยังใส่ได้ เพิ่มซื้อมาได้ไม่นานและจะใส่ต่อไป เก็บเข้าตู้ได้

ถ้าตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวไหนควรอยู่กองไหน ลองเรียกเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเลือก

5. แปลงโฉมตัวเสื้อผ้าให้เป็นห้องเสื้อ

ถ้าโยนเสื้อผ้าเข้าตู้โดยไม่จัด เสื้อผ้าจะเสียทรงและมีรอบยับ การจัดตู้ให้สวยงามไม่เพียงทำให้เสื้อผ้าดูน่าใช้ แต่ยังทำให้เราเห็นชุดทุกชุดใส่ในตอนเช้า

ควรใช้ไม้แขวนเสื้อที่รักษาทรงเสื้อผ้าและจัดเสื้อผ้าตามประเภท จะให้ดีขึ้น ควรเป็นเรียงสีด้วย

6. เก็บของที่ไม่ได้ใช้ไว้นอกตู้

ของที่ยังไม่ใช้ช่วงนี้ เช่น เสื้อผ้าตามฤดูกาล ชุดออกงานพิเศษ ให้ใส่กล่องหรือถุงไว้ด้านนอก โดยเก็บอย่างดีเพื่อป้องกันความชื้น ฝุ่น และแมลง

7. ให้ความสว่างในตู้เสื้อผ้า

ตู้เสื้อผ้าที่ดีควรติดตั้งหลอดไฟ เพื่อให้เห็นเฉดสีของเสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน และยังอำนวยความสะดวกในการหาของอื่นๆ

8. ตั้งกฎใหม่ในการช็อปปิ้ง

เมื่อรู้แล้วว่าตู้เสื้อผ้าของคุณควรมีของประมาณกี่ชิ้นทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อเสื้อใหม่สักตัว ให้คิดไว้เลยว่า ต้องมีเสื้อผ้าเดิมสักหนึ่งชิ้นที่ถูกทิ้งไปเพื่อไม่ให้ตู้ของคุณกลับไปรกอีกหรือจะใช้วิธีโละเสื้อผ้าที่ไม่ใส่พร้อมกับซื้อชุดใหม่ๆ สำหรับฤดูกาลที่จะมาถึงในคราวเดียวก็ได้

9. จัดรองเท้าให้มองเห็นได้
ไหนๆก็จัดตู้เสื้อผ้าแล้วควรถือโอกาสจัดตู้รองเท้าไปด้วยเลย จำนวนรองเท้าที่จะเก็บไว้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในตู้ ควรจัดรองเท้าให้หยิบง่ายใช้ง่าย อาจเรียงเป็นคู่โดยแยกประเภท เช่น รองเท้าส้นสูง รองเท้าผ้าใบ รองเท้าลำลอง ฯลฯ หรือใช้กล่องรองเท้าแบบใส เพื่อให้เห็นรองเท้าคู่ที่ต้องการได้ชัด

ที่มา : นิตยสาร SHAPE

มารู้จักประโยชน์ต่างๆ ของไข่กัน


ไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลากคนมองข้ามไป เช่น ไข่มีประโยชน์ต่อสายตา สารแครโรตินอยด์ โดยพาะ ลูทีน และ ซีแวนทิน ซึ่งจำเป็นต่อการมองเห็น คนที่กินไข่วันละฟอง จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกน้อยกว่า โปรตีนจากไขมีคุณภาพสูง ไข่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วนทุกตัว จึงเป็นโปรตีนที่ดี ไข่เป็นแหล่งที่ดีของโคลีน โคลีนเป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบสนอง ระบบประสาทและระบบหัวใจ การกินไข่อาจช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ

ไข่แดงมีกรดไขมันจำเป็น แม้ว่าไข่แดงจะมีคอเลสเตอรอลมาก แต่ในไข่แดงจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ดีเอชเอ (ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองและเนื้อเยื่อตา) และกรดโอเมก้า 6 กรดอะราคิโดนิก (ซึ่งจำเป็นสำหรับผิวหนัง เส้นผม ความต้องการทางเพศ ระบบสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต และการตอบสนองต่อบาดแผล เด็ก หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร คนที่มีปัญหาเรื่องอัลไซเมอร์) และไข่แดงเป็นแหล่งอาหาร วิตามิน ดี ตามธรรมชาติ อาหารอื่นหลายชนิดที่มีวิตามิน ดี ไม่ได้มาจากธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง

โครงการเผยแพร่ความรู้ผ่านสื่อมวลชน สมาคมคหเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

การแก้นอนกรน


เหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่การนอนกรนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้คู่สามีภรรยาทะเลาะกันบ้านแตกมาแล้ว เพราะเวลาพักผ่อนกลับไม่ได้หลับอย่างเต็มที่ ด้วยเสียงครืนคราดของคนข้างๆ ดังสนั่นอยู่ข้างรูหู ถ้าสองเสียงประสานกันก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าดังเดียวขอให้รีบแก้ไขทันที ซึ่งวิธีนี้คุณเคยผ่านมาตั้งแต่เกิดแล้ว นั่นคือการอมจุกยางของเด็กทารกไว้ในปาก วิธีนี้จะช่วยให้ลิ้นของคุณอยู่นิ่ง ทำให้เนื้อเยื่อเพดานไม่กระเทือนสั่นไหว จึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากด้วยอาจจะเขินไปหน่อย แต่ลองดูเถอะ เพื่อสุขภาพของคนนอนข้างๆคุณ

ที่มา : นิตยสาร OHO

กระเทียมช่วยหนุ่มๆ หน้าหนาว


คุณหนุ่มๆ ต้องเคยเจอปัญหากับการโกนหนวดแล้วเป็นแผลกันแน่ๆ เลย เรามีเทคนิคนำเข้าจากประเทศรัสเซียพื้นที่ที่มีอากาศหนาวสุดโหด เวลาพวกหนุ่มๆ รัสเซียได้แผลจากการโกนหนวดในตอนเช้า และอยากหายเร็วๆ เค้าจะเอากลีบกระเทียมมาทาถูบริเวณแผลเบาๆ เพื่อทำความสะอาดเพราะกระเทียมมีสารแอนตี้แบคทีเรีย ช่วยลดภาวะผื่นแดงและระคายเคือง อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ชายไทยไม่รู้ ลองทดสอบดูแล้วกัน ถึงจะไม่หนาวเท่ารัสเซีย แต่รับลองว่าได้ผล ลบรอยแผลบนใบหน้าให้กลับมาเนียนได้ทันใจแน่ๆ

ที่มา : นิตยาสาร OHO

พริกไทยทำไมต้องจาม ?



พริกไทยกับเสียงจามเป็นเรื่องคู่กันเพราะในพริกไทยมีสารเคมีชื่อ “ไพเพอรีน” (piperine) เป็นตัวสร้างความระคายเคืองให้เส้นประสาทในช่องจมูกและปาก พอรู้สึกระคายเคืองร่างกายเราก็จะพลักดันเจ้าสารแปลกปลองนี้ออกไปด้วยการจามสนั่นหวั่นไหว

แต่ไช่ว่าไพเพอรีนจะเกิดมาเพื่อสร้างเสียงจามเพียงอย่างเดียวเจ้าสารตัวนี้มีดีตรงที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองป้องกันอัสไซเมอร์ได้ฉะนั้นคนที่กำลังคิดจะเลิกกินพริกไทยก็รีบๆ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทัน

ที่มา : นิตยสาร Spicy