วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

สารพัดวิธี..หนีความอ้วน


★ 1. ห้ามดูทีวีเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะทำให้ร่างกายต้องอยู่เฉยๆ
ควรทำกิจกรรมอื่นที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายแทน

★ 2. กินอาหารที่มีเส้นใย 4 กรัมทุกมื้อ
อาหารที่มีเส้นใยจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลอรีช้าลง ทำให้รู้สึกอิ่มท้องและไม่หิวระหว่างมื้อ

★ 3. ชั่งน้ำหนักทุกวัน วิธีนี้จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 12 ปอนด์ใน 2 ปี (ประมาณ 6 กิโลกรัม)
แต่ถ้าชั่งสัปดาห์ละครั้งจะลดได้ครึ่งเดียวคือ 6 ปอนด์ (ใน2 ปี)
เหตุผลก็เพราะการชั่งน้ำหนักจะทำให้เรารู้ว่า ตอนนี้น้ำหนักขึ้นหรือลงไปขนาดไหน
จะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ทัน

★ 4. นอนให้เพียงพอจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสม คือ 7 ชั่วโมงต่อคืน
คนที่นอนไม่พอจะหิวเร็วและบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากระดับฮอร์โมนในการควบคุมความหิวลดต่ำลง
ทำให้ต้องกินบ่อยขึ้น โอกาสที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นก็เลยมีสูงกว่าคนที่พักผ่อนตามปกติ

★ 5. ไม่ทำงานเกิน 9 ชั่วโมง เพราะการนั่งทำงานเป็นเวลานาน นอกจากทำให้ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวแล้ว
ยังมีผลต่อความเครียดซึ่งจะส่งผล กระทบโดยตรงต่อฮอร์โมนในร่างกาย

★ 6. หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งขัดขาว น้ำตาลฟอกขาว
เพราะอาหารพวกนี้ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งร่างกายก็จะดูดซึมไว้ในปริมาณมาก แล้วความอ้วนจะไปไหนเสีย


ที่มา : http://women.thaiza.com
ภาพจาก : http://www.time.com

อาหารแบบนี้...ช่วยลดความอ้วน



วิธีลดไขมันในอาหาร เพื่อลดความอ้วนได้แก่...

ลดอาหารทอด
น้ำมันในอาหารทอดจะซึมเข้าไปในเนื้ออาหาร ทำให้ดูมีไขมันต่ำกว่าจริง
คนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนไม่ควรกินอาหารทอดเกินวันละ 2-3 ช้อนกินข้าว หรือไม่กินเลยยิ่งดี

กินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ผักน้ำพริก และสลัดแทน
ถ้ากินสลัดควรเลือกน้ำสลัดที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ ผักน้ำพริก (ถ้าไม่มีพืชหัว เช่น ฟักทอง ถั่ว ฯลฯ)
ให้กำลังงานประมาณ 20 แคลอรี (น้ำพริก 2 ช้อนกินข้าว) เท่านั้น
การกินข้าวกล้องกับผักน้ำพริกเป็นสูตรลดความอ้วนง่ายๆ ที่อิ่มนาน และมีคุณค่าทางอาหารสูง

ลดหรือเลี่ยงก๋วยเตี๋ยวแห้ง
ก๋วยเตี๋ยวแห้ง มักจะต้องคลุกเส้นกับน้ำมันหมู เพื่อให้คล่องคอ (เวลากลืน)
การกินก๋วยเตี๋ยวแห้งมีส่วนทำให้ได้รับน้ำมันจากสัตว์ ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มขึ้นมาก
ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวน้ำแทนจะลดกำลังงาน(แคลอรี)ไปได้มาก เนื่องจากก๋วยเตี๋ยวน้ำใช้น้ำหล่อลื่นแทนน้ำมันหมู

ลดหรือเลี่ยงก๋วยเตี๋ยวผัด เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ฯลฯ
การผัดหรือทอดทำให้น้ำมันซึมเข้าไปภายใน กลายเป็น "น้ำมันล่องหน" และเสี่ยงต่อการกินมากเกิน

ลดหรือเลี่ยงแกงกะทิ กะทิมีไขมันมะพร้าว ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก

งดนมไขมันเต็มส่วน (whole milk)
คนที่จะลดน้ำหนักควรงดนมไขมันเต็มส่วน ดื่มนมไม่มีไขมัน (nonfat) หรือนมไขมันต่ำ (low fat) แทน

ไม่กินเมล็ดพืช เช่น ทานตะวัน ฯลฯ มากเกินวันละ 1 กำมือเล็ก
หรือที่ดีกว่านั้นคือ ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง


วิธีเพิ่มอาหารกำลังงานต่ำ เพื่อลดความอ้วนได้แก่

กินผักแบบ "ผักครึ่งหนึ่ง-อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง"
หรือเพิ่มผักเป็น 3 ใน 4 ของอาหารทั้งหมด เพื่อให้ได้แร่ธาตุ วิตะมินเพิ่มขึ้น อิ่มมากขึ้น หิวน้อยลง

กินข้าวกล้อง หรือข้าวโอ๊ตแทนข้าวขาว
กินขนมปังโฮลวีท(สีรำ)แทนขนมปังขาว และไม่กินแป้งมากเกิน
ถ้าไม่ชอบข้าวกล้องจริงๆ อาจใช้จมูกข้าวสาลี (wheat germ)
หรือรำข้าวเติมไปในข้าวขาว เพื่อเพิ่มเส้นใย(ไฟเบอร์)

นำถั่วเหลือง(คุณค่าโปรตีนสูงมาก) หรือถั่วแดงหลวง(เส้นใยหรือไฟเบอร์สูงมาก)
มาแช่น้ำ ต้มเก็บใส่ตู้เย็นไว้ นำมาเสริมโปรตีน และลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างน้อย 50%
เช่น ซื้อกับข้าวมา ตักเนื้อออก ใส่ถั่วไปแทนอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ฯลฯ

กินผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง ส้ม ฯลฯ ไม่มากเกิน
และงดหรือลดผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ฯลฯ

กินน้ำผักได้ น้ำผักที่ช่วยให้อิ่มได้นานคือ น้ำมะเขือเทศ
น้ำผักหัว (root vegetables) เช่น ฟักทอง ฯลฯ มีน้ำตาลและแป้งค่อนข้างมาก พวกนี้ควรกินแต่น้อย
กินเนื้อผักจะได้เส้นใย(ไฟเบอร์) ครบส่วน มากกว่าน้ำผัก

ไม่ควรกินน้ำผลไม้มากเกิน เนื่องจากน้ำผลไม้มีน้ำตาลสูงมาก

งด-ลด-ละ-เลิกขนม น้ำตาล น้ำหวาน
การใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาล หรือการดื่มเครื่องดื่มที่ใช้น้ำตาลเทียมมีส่วนช่วยลดกำลังงาน
หรือแคลอรีจากเครื่องดื่มลงได้ แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไป

ถ้าดื่มกาแฟ... กาแฟชงเองมีแคลอรีต่ำกว่ากาแฟสด หรือกาแฟที่ร้านค้าชงมา

งด-ลด-ละ-เลิกเหล้า เบียร์ ไวน์ (แอลกอฮอล์)
เนื่องจากแอลกอฮอล์ให้กำลังงานสูง มีน้ำตาลปนอยู่ และทำให้ขาดสติ... กินมากไป เลยอ้วนเลย


ข้อมูลจาก บ้านสุขภาพ
ที่มา : http://women.mthai.com

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารสุดอันตรายไม่จำเป็นต้องกิน



เดี๋ยวนี้คนไทยนิยมบริโภคฟาสต์ฟู๊ดมากยิ่งขึ้น เพราะอร่อยและทันอกทันใจ แต่หารู้ไม่ว่าการทานอาหารแบบนั้นบ่อยๆ จะทำให้เราตายผ่อนส่งไปทีละนิดๆๆ และนี่คืออาหารที่ เราแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก้อย่ากินมีนเลย

จากข้อมูลของ “Team Comtent” สำนักงานออกทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสา.) พบว่ามี “เมนูโปรด” ของใครหลายคนถูกจัดเป็น “อาหารอันตราย” อย่างน้อยๆ 10 ชนิดได้แก่…

1. แฮมเบอร์เกอร์ จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุง ทำให้มี “แบททีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ “สารเคมีสีแดง” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสียทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว

นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ “สารปรุงรส” (MSG=Monosodium Glutamate ) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นด้วย

2. ฮอทด็อก เป็นอีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์ และ “ฮอทด็อก” ทั้งหมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็มโดย “สารไนไตรท์” เป็นสารที่ทำให้เกิด “ดรคมะเร็ง” ในกระเพราะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือดเนื้องอกในสมอง และมะเร็งในกระเพราะปัสสาวะนอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อกก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่างมันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง” ที่เรียกว่า “อะคริลิไมค์” (Acrylimides) ออกมาซึ่งรู้จักดีว่าเป็นสารก่อมะเร็งและ “ทำลายประสาท”

3. เฟร้นช์ฟราย – มันฝลั่งทอด เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ออกมา นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ทอดมันฝลั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝลั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก

4. คุกกี้ ที่เด่นชัดมากคือสักส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้ จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเหิกริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5. พิซซ่า “พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิดคือ…

- เนยแท้ (Cheese) เพียง 10 % เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย..

- ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้วแต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…

- ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…

- แป้งสาลี ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม

- มีน้ำมันฝ้าย ประกอบอยู่ โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ่ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆ เอาไว้ได้มากที่สุด

ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธาธารณสุขต่างไม่ไห้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น “นำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิ อาจมี “สารอะคริลิไมค์” เกิดขึ้นด้วยขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือ เพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเดิมเข้าไปจากโรงงานอีกด้วย

6. น้ำมันอัดลม สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวหนึ่งของน้ำอัดลมจะเปิดตัวซะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป่องจะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Dict soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวานจะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำตาลสงเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขนาดที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลมยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” อีกด้วย

7. ชิ้นไก่ทอด – เนื้อนุ่มไร้กระดูก เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ใช้แล้ว การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลังงาน 340 แคลลอรี 50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงมีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี “สารอลูมิเนียม” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเผาพลาญของร่างกายด้วย

8. ไอศกรีม มีไขมันสูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำบริโภคต่อวัน มัคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเนตและไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfat) ไปจากธรรมชาติ และยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล ทำให้สันเลือดแดงอุดตัน ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นสาเหตุของมะเร็ง

9. โดนัท โดนเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงาน 300 แคลอรี่ โดยในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50 % ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน มีเกลือโซเดียมสูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำที่มีอุณหภูมิที่สูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษ และทำให้ร่างกายเผาพลาญช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพได้ และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง ในปัจจุบันมีการบริโภค “โฟเตโต้ซิพ”กันมาก โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ซิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดร์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายระบบประสาทออกมา นากจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปๆได้ การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น อาจได้รับสารอะคริไมค์เท่ากับอัตตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว

ขอของคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy

5 เรื่องควรจำก่อนกินโยเกิร์ต



โยเกิร์ตเจ้าแห่งอาหารสุขภาพ แต่คนที่กินโยเกิร์ตอาจจะไม่ได้สุขภาพดีๆ กลับไป ถ้าไม่ยอมจำเทคนิคการเลือกโยเกิร์ตต่อไปนี้

1. ซื้อเฉพาะโยเกิร์ตชนิดที่น้ำตาลต่ำ ไขมันต่ำ ไม่อย่างนั้นคุณจะได้โยเกิร์ตที่ใส่น้ำตาลจนหวานจัด เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะได้สุขภาพดี คุณกลับอ้วนเสียนี่
2. กินโยเกิร์ตพร้อมอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย เพราะเวลาร่างกายเราจะดูดซึมวิตามินสำคัญๆ โดยเฉพาะวิตามินดี จำเป็นต้องมีไขมันมาช่วยด้วย กระบวนการถึงจะทำงานเต็มที่
3.เลือกซื้อจากร้านที่มีการขนส่งและแช่เย็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นโยเกิร์ตอาจจะถูกอากาศร้อนๆ ทำให้บูดก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวันหมดอายุ
4.ก่อนจะซื้ออย่าลืมอ่านฉลากด้วยว่าถึงวันหมดอายุหรือยัง
5.ถึงโยเกิร์ตจะมีแคลอรีต่ำ แต่ก็ไม่ไช่ว่าจะไม่มีเสียเลย มื้อไหนกินโยเกิร์ต คุณจึงต้องลดข้าว แป้ง น้ำตาลลงนิดหน่อย ถ้ากินทั้งข้าวทั้งโยเกิร์ต ยังไงก็ต้องอ้วนอยู่ดี
Tip : หลังจากกินโยเกิร์ตแล้ว สิ่งที่คนรักษาสุขภาพควรทำความรู้จักไปด้วยก็ด้วย
- ทานอาหารที่มีวิตามินดี เช่นนมถั่วเหลือง ปลาตัวเล็กๆ ที่เคี้ยวได้ทั้งตัวตังก้าง เดินเล่นรับแสงแดดตอนเช้าและเย็น เพื่อเสริมให้กระดูกแข็งแรง

- ออกกำลังกายช้าสลับเร็วเพื่อไม่ให้แคลอรีจากอาหารที่กินเข้าไปเปลี่ยนเป็นไขมัน

ขอของคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy

7 ประโยชน์ของโยเกิร์ตต่อร่างกาย



1. โยเกิร์ตย่อยง่ายกว่านม

สาวๆ หลายคนร้องอี้เมื่อได้ยินคำว่านม ก็เพราะว่าดื่มนมทีไรมีอันต้องวิ่งเข้าห้องน้ำกันแทบไม่ทันกันเลยทีเดียว นั่นเพราะว่าคุณนั้นไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสที่อยู่ในน้ำนมได้ แต่ถ้าคุณหันมาทานโยเกิร์ตรับรองได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องท้องเสียอย่างแน่นอนจ้า เพราะขั้นตอนการทำโยเกิร์ตนั้นน้ำตาลแลตโตสจะถุกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกาแลคโตสและกลูโคส โยเกิร์ตจึงทานง่ายแถมยังย่อยง่ายไร้ปัญหา

2. โยเกิร์ตดีต่อลำไส้

โยเกิร์ตประกอบไปด้วยแบททีเรียแลตโตบาซิลัสมากมาย ที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ของเราโดยตรงเลยล่ะ เพราะว่าเจ้าแบทีเรียตัวนี้จะไปช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งลำไส้ แถมยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคต่างๆ ที่เกี่ยวกับลำไส้อีกด้วย

3. โยเกิร์ตช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย

มีการวิจัยมาแล้วนะว่าการทานโยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วยนานติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือนรับรองว่าแบททีเรียตัวดีในโยเกิร์ตนั้นจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายของคุณให้แข็งแรงขึ้นอีกหลายเท่า แล้วก็ไม่ป่วยง่ายอีกด้วย

4. โยเกิร์ตช่วยลดเชื้อราฆ่าเชื้อโรค

เชื่อไหมว่าการทานโยเกิร์ตทุกวันจะสามารถช่วยลดเชื่อราที่ช่องคลอดได้ แถมลดการติดเชื้อที่ช่องคลอดได้อีกต่างหาก สาวคนไหนกลุ้มเฮดกับเรื่องเชื้อราของน้องหนูเราอยู่นั้น ลองหันมาทานดูสิ รับรองว่าหายเป็นปลิดทิ้งเลย นอกจาดนี้แล้วยังช่วยให้ช่วงมีประจำเดือนทุกครั้งควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำด้วยเราะสะพคุณของเจ้าโยเกิร์ตนี้จะช่วยลดเชื้อรานั้นเอง แล้วก็ช่วยกำจัดเชื้อโรคในช่องคลอดเราด้วย

5. โยเกิร์ตอุดมไปด้วยแคลเซียม

โยเกิร์ตถ้วยโปรดของคุณนั้นอุดมไปด้วยแคลเซียมแบบเต็มเปี่ยมถ้วยเลยแหละ เผลอๆ มากกว่าวะด้วยซ้ำ ทานบ่อยๆ ก็จะเป็นการเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างายเรา แถมยังช่วยดูดซึมแคลเซียมได้ดีอีกด้วย ฟันธงเลยแหละว่าทานบ่อยๆ ห่างไกลโรคกระดูกพรุนแน่นอนเจ้าค่า

6. โยเกิร์ตช่วยลดกลิ่นปาก ฟันผุ โรคเหงือก

มีการวิจัยจากแดนปลาดิบโน้นว่า การเลือกทานโยเกิร์ยสูตรไร้น้ำตาลนั้นจะช่วยลดอาการกลิ่นตุๆ ที่ปากได้ นอกจากนี้แมงก็ไม่มีทางกินฟันให้ผุแน่นอน แถมยังไม่มีโรคเหงือกให้เจ็บปวดเล่นอีกด้วยล่ะ ขอบอกนิดๆ น่ะว่าที่เราไม่มีกลิ่นมากนั้นก็เนื่องมาจาก แบททีเรียสองสหายทั้งแลคโตบาซิลลัสและสเตร็ปโตค็อสคัส ต่างช่วยกันขยันขันแข็งทำลายปริมาณไฮโดรเจนซัสไฟด์ที่เป็นต้นเหตุของอาการกลิ่นปากนั้นเอง

7. โยเกิร์ตช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ

แบททีเรียตัวเก่งอย่างแลลโตบาซิลัสที่ทมีอยู่เยอะแยะในโยเกิร์ตนั้น ขอบอกว่าเจ้าตัวนี้เก่งมากๆ เพราะว่าสามารถช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและกลีเซอร์ไรด์ในกระแสเลือดเราไม่ให้สูงเกินไปได้ ทำให้เราไม่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจนั่นเอง

รู้ถึงเรื่องความมหัสจรรย์ของโยเกิร์ตกันแล้ว จะมัวรออะไรอยู่ล่ะ รีบไปหยิบโยเกิร์ตในตู้เย็นมากินเร็ว จะได้สุขภาพดีกันถ้วยหน้า



ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy

วิธีการดูแลดวงตาให้สดใส



วิธีการดูแลดวงตาให้สดใส

เริ่มด้วยการดูแลจากภายใน กินอะไรก็ได้อย่างนั้น “You are what you eat” และถ้าพุดถึงสารอาหารบำรุงสายตาใครๆ ก็ต้องนึกถึงวิตามินเอ และนี้ก็คือ TOP5 สุดยอดผักที่อุกดมด้วยวิตามนเอ ที่ไม่ควรมองข้าม

1.ตำลึง

ตำลึงเป็นผักที่มีรสหวาน กลิ่นหอม นอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามินเอแล้ว ก็ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์อีกมากมายเช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ดีที่สุดเลยล่ะ ถ้าตามบ้านที่ผมอยู่นะ ก็เป็นพืชสวนครัวรัวกินได้ เก็บมาล้างแล้วก็กินไม่ต้องไปซื้อหาเหมือนที่ กทม.

2.ผักหวาน

ฟังดูแล้วอาจจะหาซื้อไก้ยากหน่อยนะครับ แต่ทุกวันนี้ผักหวานมีให้กินกันตลอดปีแล้ว และผักหวานก็เป็นผักอีกชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินเอ แคลเซียม และมีคุณสมบัติ เร่งการเผาผลาญกรดอะมิโรให้เป็นพลังงานอีกด้วย ใครที่กำลังควบคุมน้ำหนักอยู่…ผักหวานก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากนะครับ

3.แครอท
เป็นผักที่ขึ้นชื่อเรื่องบำรุงสายตาเลยละครับ ถึงขนาดเป็นอาหารที่จำเป็นของนักบินอังกฤษช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เลยนะ เพราะเชื่อว่าช่วยในการโจมตีข้าศึกตอนกลางคืน และโจมตีเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ แล้วนอกจากวิตามินเอแล้ว แครลอทยังมีวิตามินบี วิตามินซี วิตามินอี และวิตามินเค อีกด้วยครับ ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งต่างๆ พร้อมช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย

4.ฟักทอง

เป็นผักที่ใช้ได้ทั้งยอดอ่อน ดอกตูม และเนื้อฟักทองแก่(แทบไม่เหลือที่จะทิ้งเลย) พร้อมทั้งคุณค่าวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตาและยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรตีน ที่ช่วยในการบำรุงจมูกและฟันด้วย

5.มะเขือเทศ
รู้ไหมว่ามะเขือเทศ 1 ผลจะมีวิตามินเอมากถึง 1 ใน 3ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันและนะครับ นอกจากนี้แล้วมะเขือเทศยังมีโปรแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ อีหหลายชิดด้วยกัน

นอกจากผักทั้ง 5 ชนิดนี้แล้ว ที่มีมิตามินเอขั้นเทพ ก็ยังมีผลไม้ไฮโซตละกูลเบอร์รี่อีหลายชนิด เช่น บลูเบอร์รี่ บิลเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ และโว๊คเบอร์รี่ ที่ทั่วโลกการันตีว่าดีต่อสายตาของเรา Very เพราะเค้ามี

+ วิตามินเอ ช่วยในการมองเห็นในที่มืด และช่วยให้ผิวบุนัยน์ตารวมทั้งเนื้อเยื่อบุของอวัยวะต่างๆ แข็งแรง

+เบต้าแคโรทีน ช่วยในการบำรุงสายตา และช่วยป้องกันโรคตา เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน

+ลูทีน และ ซีเซนทิน ทำหน้าที่ช่วยกรองและป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซล์ของจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

+สารแอสต้าแชนธิน ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอุลตร้าไวโอเลตและซะลอความเสี่ยงของดวงตาได้

หลายคนงงและสงสัยว่าจะหาซื้อได้ที่ไหนผลไม้ไฮโซเยี่ยงนี้ได้ที่ไหนอ่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวนี้เค้ามีทั้งเป็นแบบผลไม้พร้อมดื่มแบบที่ผสมในนมถั่วเหลือง แบบที่เป็นแยมทาขนมปัง แบบที่เป็นแคปซูลและอีกสารพัดชนิด ยังไงก็อย่าลืมสรรหามารับประทานนะครับ

ขอขอบคุณ : นิตยสาร Candy

คันเรื้อรัง รักษาไม่ตรงจุด ทำไง?


ผู้ ป่วยที่มีอาการคันของผิวหนัง พบว่า เป็นโรคทางกายภายใน ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาการคันร่วมด้วย …. การรักษาจึงต้องหาต้นตอของโรคภายใน ไม่เช่นนั้น รักษาไม่หายขาด ทั้งยังทำให้โรคภายในทรุดลงเรื่อยๆ

นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยในบทความวิชาการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ (วารสารคลินิก) ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2552 นี้ว่า ผู้ป่วยคันเรื้อรังร้อยละ10 – 50 พบว่ามีโรคทางกายภายในที่เป็นสาเหตุของอาการคันร่วมด้วย จึงควรได้รับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ และการรักษาที่เหมาะสม การตรวจที่อาจทำคือ การตรวจนับเม็ดเลือด ในรายที่สงสัยว่าคันจากโรคโลหิตจางจากการขาดเหล็ก คันจากโรคมะเร็งเม็ดเลือด, ตรวจค่าครีอาตินีนและ BUN ในผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคไต, การตรวจหาเอ็นซัยม์ตับ, ตรวจหาระดับฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์, ตรวจหาระดับน้ำตาล เพื่อหาว่าเป็นเบาหวานร่วมด้วยหรือไม่ ตรวจอุจจาระ ถ้าพบเลือดอาจเป็นมะเร็งระบบทางเดินอาหาร พบไข่พยาธิอาจคันจากการติดเชื้อพยาธิ, การตรวจหา HIV antibody ถ้ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ การขูดผิวหนังเพื่อหาเชื้อราหรือหิด และการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา


ดังนั้นการรักษาอาการคันจากโรคภายในจึงขึ้นกับสาเหตุ หากไม่รักษาสาเหตุต้นตอของโรคภายใน อาการคันก็ไม่หายขาดและโรคภายในก็จะทรุดลงเรื่อยๆ ในผู้ป่วยที่คันจากโรคไตแพทย์อาจพิจารณาฉายแสงยูวีบี, ให้ยาทาลดอาการคันเฉพาะที่, ยากิน, การล้างไตช่วยลดอาการคันลงได้, ในรายที่คันจากโรคตับมียาเฉพาะเช่น cholestyramine, อาการคันจากโรคเลือดจากการขาดเหล็กแก้ไขด้วยการเสริมเหล็ก แพทย์อาจให้ยา aspirin ในผู้ป่วยโรคเลือดข้นผิดปกติที่มีอาการคัน, อาการคันจากต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยเป็นผลจากผิวแห้ง รักษาด้วยครีมให้ความชุ่มชื้น และเสริมฮอร์โมนของต่อมไทรอยด์

นพ.ประวิตร พิศาลบุตร เตือนว่า พบบ่อยว่าผู้ที่คันเรื้อรังอาจหาซื้อยามากินเอง เช่น ยาชุด ยาสมุนไพร ยาหม้อ ยาแผนโบราณ ยาลูกกลอน ยาพระ โดยผู้ที่ใช้ส่วนใหญ่เข้าใจว่าปลอดภัย แท้จริงแล้วอาจมีอันตรายได้เช่นกัน พบว่ายาชุด, ยาสมุนไพรหลายขนานมีการเจือปนสารอันตรายเช่น สเตียรอยด์ และสารหนูลงไป สเตียรอยด์ขนาดสูงทำให้หน้าบวมเป็นดวงจันทร์ คอมีหนอก ผิวแตกลาย ผิวฝ่อ เลือดออกในกระเพาะอาหาร กระดูกผุ, ติดเชื้อง่ายขึ้น,น้ำตาลในเลือดสูง ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมีอาการทรุดลง การใช้สเตียรอยด์อาจทำให้อาการดีขึ้นช่วงแรก แต่เมื่อไม่ได้รักษาตรงจุดในที่สุดโรคจึงทรุดลง และยังมีข้อแทรกซ้อนจากยาอีกมาก



ผู้ป่วยที่คันเรื้อรังจึงควรรับการตรวจอย่างละเอียด เพื่อการวินิฉัยและหาสาเหตุร่วมจากโรคภายในอย่างตรงจุด ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางตามความเหมาะสมเช่น ปรึกษาแพทย์โรคผิวหนัง อายุรแพทย์ แพทย์โรคทางเดินอาหาร แพทย์โรคเลือดและโรคมะเร็ง แพทย์โรคต่อมไร้ท่อ จิตแพทย์ และศัลยแพทย์ และแม้จะตรวจไม่พบสาเหตุใดๆ ก็อาจต้องรับการตรวจซ้ำทุกๆ 3-6 เดือน

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

โรคผื่นแพ้สัมผัส (allergic contact dermatitis)




โรคผื่นแพ้สัมผัสเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยมากโรคหนึ่ง พอในเพศชายและเพศหญิง และทุกอายุ ถึงแม้ว่าในผู้สูงอายุมากๆ จะมีโอกาสเกิดโรคน้อยกว่าวัยหนุ่มสาว

โรคผื่นแพ้สัมผัสคืออะไร

เป็นโรคที่เกิดจากการแพ้สารหรือวัตถุที่สัมผัสกับร่างกายภายนอกทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ คันบริเวณที่ถูกสารนั้นๆ

สารที่ทำให้แพ้เป็นอย่างไร

สารต่างๆ ทั้งในรูปของแข็งของเหลวสามารถทำให้เกิดการแพ้ได้ทั้งสิ้น สารบางอย่างอาจ แพ้ง่ายกว่าสารบางอย่าง เช่น สารที่ทำด้วยโลหะชนิดนิกเคิล (nickle) มีโอกาสแพ้ได้สูง แต่สารที่ทำจาก พลาสติกมักไม่ค่อยเกิดอาการแพ้ สารที่ทำให้แพ้อาจมีขนาดเล็ก เช่น ผงปูนซีเมนต์ เกสรดอกไม้หรืออาจเป็นของขนาดใหญ่เช่นรองเท้า ถุงมือ เป็นต้น

สารที่ทำให้แพ้นั้นต้องใช้มานานเท่าใดจึงแพ้

สารบางอย่างใช้มานานแล้วเพิ่งแพ้ก็ได้ หรือสารบางอย่างใช้มาไม่นานก็เกิดการแพ้ก็ได้ ปกติสารที่ทำให้เกิดการแพ้ครั้งแรกนั้นต้องสัมผัสผิวหนังมานาน 10 – 14 วันขึ้นไปจึงจะเกิดผื่นแพ้ แต่ถ้าเคย แพ้สารนั้นแล้ว เมื่อถูกสารนั้นใหม่ก็จะเกิดผื่นแพ้ได้เร็วภายใน 1 – 3 วัน เมื่อแพ้สารใดแล้วก็จะแพ้ไปตลอด

สารอะไรบ้างที่แพ้บ่อย

สารแพ้บ่อย เช่น โลหะนิเคิล (nickel),น้ำหอม (fragrance mix, balsum of Peru), สารกันบูดที่ใส่ในครีมหรือเครื่องสำอาง ยาง(thimerosal), สารโครเมต (chromate) ที่อยู่ในผนังปูนซีเมนต์, เครื่องหนัง และยาปฎิชีวนะชนิดนีโอมัยซิน (neomycin) ซึ่งผสมอยู่ในยาทาฆ่าเชื้อหรือยาหลอดตาบางชิด เป็นต้น

อาการแสดงของผื่นแพ้สัมผัสเป้นอย่างไร

ผื่นในระยะแรกมีลักษณะเป็นผื่นแดง บวม คัน อาจพองเป็นตุ่มน้ำใสเมื่อตุ่มแตก มีน้ำเหลืองไหลออกมา เมื่อน้ำเหลืองแห้งก็จะเป็นสะเก็ดน้ำเหลืองติดอยู่กับผื่น ผื่นจะเกิดบริเวณที่ถูกสัมผัส กับสิ่งแพ้ เช่น แพ้สายนาฬิกาก้จะเกิดแถวข้อมือ แพ้รองเท้าก็เกิดบริเวณรองเท้า เป็นต้น เมื่อเป็นโรคนี้ เป็นเวลานาน ผื่นมักแห้ง หนาขึ้น สีคล้ำเนื่องจากการเกา บริเวณแถวฝ่ามีเท้า อาจพบตุ่มน้ำใสอยู่ลึก เมื่อเจาะออกจะมีน้ำใสๆ ออกมามีอาการคัน ผื่นแพ้สัมผัสนี้ตอนแรกเกิดบริเวณที่ถูกสารสัมผัสกับร่างกาย แต่เมื่อเป็นรุนแรงขึ้นผื่นมักกระจายไปบริเวณอื่นที่ไม่ได้สัมผัสกับสารที่แพ้ ผื่นอาจกระจายเป็นตุ่มแดงคันทั่วๆ ตัวได้นอกจากอาการคันผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการผิดปกติอื่นไม่มีไข้


เป็นที่นิ้วมือ


ผื่นหายเองได้หรือไม่

ถ้าไม่ถูกสารที่แพ้แล้วผื่นก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง อาจเหลือรอยดำบริเวณที่เป็นอยู่อีกระยะหนึ่ง แล้วจางหายไปแต่ถ้าถูกสารที่แพ้ใหม่ผื่นก็จะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ได้

ถ้าผื่นขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดยไม่ทราบว่าแพ้อะไร แพทย์จะช่วยเหลือได้อย่างไร


การทดสอบผิวหนังชนิดแพทเทสท์


ในกรณีที่ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดยไม่ทราบว่าตนเองแพ้อะไรนั้น แพทย์ผิวหนังอาจทำการทดสอบผิวหนังที่เรียกว่าแพทเทสท์ (patch test) ซึ่งจะกระทำได้ต่อเมื่อรักษาผื่นแพ้ยุบหายเร็ว วิธีการทำคือแพทย์จะใส่น้ำยามาตรฐานที่รู้ว่าคืออะไร หยดลงในหลุมอลูมิเนียมกลมๆ เล็กๆ ซึ่งติดอยู่กับพลาสเตอร์เหนียวน้ำยามาตรฐานมีประมาณ 30 – 40 ชนิด แล้วติดพลาสเตอร์เหนียวนี้กับหลังผู้ป่วย ทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน ดดยที่ผู้ป่วยต้องระวังอย่าให้พลาสเตอร์นี้หลุดออก เมื่อถึงวันอ่านผลแพทย์จะดึงพลาสเตอร์ ออกแล้วอ่านผลว่าผู้ป่วยแพ้สารอะไร สารนั้นมีอยู่ใน อะไรบ้าง ผุ้ป่วยต้องเลี่ยงไม่ให้ไปถูกสัมผัสกับสิ่งของอะไรบ้าง

ผื่นแพ้สัมผัสรักษาได้อย่างไร

เมื่อมีผื่นผิวหนังอักเสบ แพทย์จะให้ยาทาเฉพาะที่ประเภทสเตียรอยด์ (Topical cortico – steroid) ซึ่งอาจอยู่ในรูปของครีมเหลว น้ำใส หรือขี้ผึ่ง ขึ้นอยู่ผื่นเป็นแบบใด และขึ้นบริเวณใดของร่างกาย ในกรณีที่มีน้ำเหลืองไหลอาจมีน้ำยามาให้ล้างแผลก่อนทายา และอาจมียารับประทานแก้แพ้ และแก้ คันร่วมด้วย แต่ที่สำคัญคือผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ และแก้ คันร่วมด้วย แต่ที่สำคัญคือผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ มิฉะนั้นผื่นอาจไม่ดีขึ้นหรือหลับเป็นกลับใหม่ได้

ยาทาสเตียรอยด์มรผลเสียหรือไม่

ยาทาสเตียรอยด์ เป็นยาที่ดีรักษาโรคนี้ได้ผลดี แต่ก็มีผลเสีย ผู้ป่วยไม่ควรทายานานๆ เมื่อ ผื่นดีขึ้นก็ควรหยุดยาตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่าซื้อยาทาเอง ไม่ควรทายานานเพราะจะเกิดผลเสียต่อผิวหนัง เช่น ทำให้ผิวบางลง สีผิวหนังจางลงมีสิวขึ้นบริเวณทายา ผื่นอาจติดเชื่อและมีหนองได้ง่าย และอาจมีเส้นเลือดบริเวรนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้น

โรคนี้หายขาดหรือไม่

ถ้าไม่ถูกสารที่แพ้อีกก็ไม่มีผื่นขึ้นใหม่ แต่ถ้าไปถูกสารที่แพ้อีกผื่นก็จะเห่อกำเริบขึ้น ถ้าถูกบ่อยผื่นอาจลามไปทั่วตัวได้

ข้อมูลจาก : รศ.นพ.วิวัฒน์ ก่อกิจ สาขาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ผื่นผิวหนังอักเสบที่มือ (Hand Eczema)



ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ นอกจากจะต้องระวังสุขภาพเป็นพิเศษแล้ว การดูแลตนเองไม่ให้เกิดโรคที่มาในช่วงหน้าหนาวก็เป็นสิ่งสำคัญ และตามที่ได้เคยนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับโรคที่จะมาในช่วงหน้าหนาวไปเมื่อหลายฉบับก่อน ครั้งนี้ขอนำเสนอหนึ่งในโรคที่มักพบได้ในผู้ที่มีผิวแห้งเป็นพิเศษ นั่นก็คือ “ผื่นผิวหนังอักเสบที่มือ หรือ Hand Eczema”

ปกติแล้ว Eczema ก็คือ การอักเสบที่เกิดขึ้นกับ ผิวหนัง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย แต่ Hand Eczema เป็นลักษณะการอักเสบที่เกิดขึ้นบนมือ ซึ่งความรุนแรงขึ้นอยู่กับลักษณะทางคลินิกที่เกิดขึ้น โดยส่วนมากจะพบเป็นตุ่มน้ำจมอยู่ในหนังกำพร้าของผิวหนังบริเวณข้างนิ้วมือ-นิ้วเท้า-ฝ่าเท้า-ฝ่ามือ ผลจากการเกิดตุ่มจะทำให้เกิดอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน จนทำให้เกิดอาการแห้งขึ้น ผิวหนังลอก ผิวหนังหนาเป็นรอยแตก และรอยโรคมักเป็น ๆ หาย ๆ ถ้ารอยโรคลามมาที่หลังมือ ใกล้โคนเล็บ เล็บอาจมีการเปลี่ยนแปลงผิดรูป มีเล็บหนา สีของเล็บเปลี่ยนไปได้

สาเหตุการเกิด สามารถเกิดได้จากปัจจัยภายนอกและภายใน ซึ่งรวมทั้งการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือสารที่มีความระคายเคืองต่อผิว จำพวกผงซักฟอก สบู่ น้ำยาทำความสะอาด ส่วนผสมบางอย่าง ใน เครื่องสำอาง และผลิต ภัณฑ์ดูแลผิวที่ใช้เป็นประจำ หรือการที่มือสัมผัสกับน้ำบ่อย ๆ ถูกอากาศแห้งจัด เย็นจัด ก็จะทำให้เกิดการแพ้ได้ ผลที่เกิดขึ้นที่ทำให้แตก แห้งนั้น จะทำให้ผิวหนังบริเวณมือสูญเสียความแข็งแรงไป ไม่สามารถต้านทานกับสิ่งที่สัมผัสได้

ดังนั้น จึงมีคำแนะนำสำหรับการดูแลผื่นผิวหนังอักเสบที่มือ ดังนี้

หลีกเลี่ยงสารที่แพ้ หากผื่นผิวหนังอักเสบค่อนข้างเรื้อรัง และสงสัยว่าจะเกิดจากการแพ้สารที่สัมผัส ให้มาพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการทดสอบผื่นแพ้สัมผัสที่ผิวหนัง จนเมื่อทราบว่าแพ้สารชนิดใดแล้ว ก็ให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารนั้น

การล้างมือ ไม่ควรล้างมือด้วยน้ำอุ่น น้ำร้อน และให้ใช้สบู่เพียงเล็กน้อย หลังล้างมือซับมือให้แห้ง (โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้ว) แล้วทาผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ ทุกครั้ง ในชีวิตประจำก็ไม่ควรล้างมือบ่อยเกินไปหรือ 2-3 ครั้งต่อวัน งดเว้นการใช้สบู่ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง เนื่องจากจะทำให้ผิวหนังที่มีอาการอักเสบอยู่เดิม เกิดการระคายเคืองและทำให้ผิวแห้งตึงได้ หากจำเป็นต้องใช้ควรใช้แต่น้อย โดยฟอกเฉพาะบริเวณที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ตามซอกพับ ซอกอับต่าง ๆ ข้อแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนปลอดน้ำหอมและสาร กันบูดที่ไม่จำเป็น หลีกเลี่ยงสบู่หอมและสบู่ที่ผสมยาฆ่าเชื้อ ยาดับกลิ่น หรือวิตามินที่ไม่จำเป็น อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สบู่ที่ผสมมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดปราศจากสบู่ นอกจากนี้ยังให้งดใช้แอลกอฮอล์เจล ยาฆ่าเชื้อ น้ำยาทำความสะอาดทุกชนิดอีกด้วย

การเลือกใช้ครีม-โลชั่น-มอยส์เจอไรเซอร์ ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิว ให้เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทามือบ่อย ๆ ทาซ้ำทุกครั้งที่รู้สึกผิวแห้งตึง และทุกครั้งหลังล้างมือหรือถอดถุงมือ เพื่อไม่ให้มือแห้ง พยายามเน้นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดน้ำหอม ไม่ใส่สี และไม่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้แพ้ สำหรับมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ถ้ายิ่งมีลักษณะเหนียวเหนอะจะป้องกันการระเหยของน้ำ จากผิว และให้ความชุ่มกับผิวได้ดี เช่น ขี้ผึ้ง วาสลิน จะค่อนข้างให้ผลดี รองลงมาจะเป็นประเภทน้ำมัน mineral oil ครีม และ โลชั่น

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของยูเรียจะช่วยอุ้มน้ำในชั้นผิว และช่วยเพิ่มการซึมผ่านผิวของยาทาชนิดอื่น ทำให้เพิ่มประสิทธิ ภาพการรักษาด้วยยาทาได้มากยิ่งขึ้น

การเลือกใช้ถุงมือ ในผู้ป่วยที่มีการอักเสบที่มือที่มีอาชีพที่จำเป็นต้องสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ให้เลือกใช้ถุงมือพลาสติก (โพลียูรีเทน) ถุงมือไวนิล หรือ ถุงมือพีวีซี (PVC) ในการสัมผัสกับสารเหล่านั้น ซึ่งจะเป็นการป้องกันการสัมผัสกับสารที่ดีกว่าถุงมือยางลาเท็กซ์ เช่น ถุงมือแพทย์

คำแนะนำเพิ่มเติมในการใช้ถุงมือ ไม่ควรใส่ถุงมือนานเกินกว่า 15-30 นาทีต่อครั้ง เพราะจะทำให้เกิดความอับชื้นและระคายได้ หากมีเหงื่อออกมากให้ใส่ถุงมือผ้าขาวไว้ข้างในถุงมืออีกชั้นหนึ่ง เพื่อดูดซับเหงื่อ ในบางอาชีพที่ต้องสัมผัสกับงานแห้ง ๆ ที่มีฝุ่นสกปรก ให้เลือกใช้ถุงมือผ้าสีขาวที่ไม่อับชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้มือสกปรก จะทำให้ไม่ต้องล้างมือบ่อย ๆ การใส่ถุงมือผ้าสีขาวจะช่วยให้สามารถทามอยส์เจอไรเซอร์ที่เหนียวเหนอะหนะได้บ่อย ๆ นอกจากนี้หากทายาแล้วใส่ถุงมือผ้าสีขาวก่อนนอนจะช่วยให้ยาดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้น

คำแนะนำอื่น ๆ เช่น ควรถอดแหวนออกขณะทำงานบ้าน และล้างมือ เพราะสบู่ที่คั่งค้างอยู่ใต้แหวนทำให้ผื่นอักเสบที่มือกำเริบได้พยายามเลี่ยงงานบ้าน งานอดิเรกที่ต้องสัมผัสกับพวกตัวทำละลาย แอลกอฮอล์ น้ำยาทำความสะอาด กาว ขี้ผึ้ง อีป๊อกซี่ เรซิ่น และกาวอีป๊อกซี่ หากจำเป็นต้องทำงานบ้าน พยายามใช้แปรงด้ามยาวในการล้างจาน ทำความสะอาด หากเป็นไปได้ควรใช้เครื่องซักผ้า หรือเครื่องล้างจาน

นอกจากนี้แล้ว ยังให้หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสิ่งของเหล่านี้ด้วยมือเปล่า ได้แก่ อาหาร น้ำผลไม้ เปลือกผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลส้ม มะนาว ส้มโอ เนื้อสัตว์ เนื้อปลา ผัก หัวหอมใหญ่ และกระเทียม เช่นกัน อย่างที่กล่าวไปแล้ว สารที่อยู่ในผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาด ผงซักฟอก น้ำยาขัดเงา น้ำมันก๊าด ทินเนอร์ น้ำมันใส่ผม โลชั่นใส่ผม ยาย้อมผม ให้ใช้ไม้พันสำลี หรือแปรงทาแทนการใช้มือเปล่า หรือให้ใช้ถุงมือเป็นเกราะป้องกันชั้นหนึ่งก่อน.

รศ.พญ. เพ็ญพรรณ วัฒนไกร
หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

เรื่องเกี่ยวกับผมร่วง



ภก.ดร.วิรัตน์ ทองรอด คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ให้ความรู้สรุปความได้ว่า มนุษย์ทุกคนมีผมร่วงเองตามธรรมชาติประมาณ 100 เส้นต่อวัน ผู้ที่สงสัยว่า “ตนเองจะมีภาวะผมร่วงผิดปกติ” ให้สังเกตและลองนับจำนวนเส้นผมที่ร่วงในแต่ละวันดู ถ้ามีจำนวนน้อยกว่า 100 เส้นต่อวัน ถือว่าเป็นภาวะของเส้นผม แต่ถ้ามีจำนวนเส้นผมที่หลุดร่วงมากกว่า 100 เส้นต่อวัน จึงจะถือว่ามีความผิดปกติของการหลุดร่วงของเส้นผม อย่างไรก็ดี ในบางสภาวะอาจทำให้ผมร่วงได้มากกว่าปกติ เช่น ความเครียด หลัง คลอดบุตร เสียเลือดอาจทำให้วงจรชีวิตของเส้นผมสั้นลงได้ และร่วงมากขึ้นได้แต่มักกลับมาเป็นปกติได้ หลังจากที่ได้ผ่านภาวะนั้นๆ เรียบร้อยแล้ว

ผมร่วงแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

1.ผมร่วงแบบเพศชาย เป็นการหลุดร่วงของเส้นผมตามธรรมชาติ มักพบในผู้ที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ที่พบบ่อยคือหัวล้านบริเวณกลางศีรษะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์และฮอร์โมนเพศชาย เมื่ออายุมากขึ้นจะมีการหลุดร่วงมากขึ้น

2.ผมร่วงจากภาวะของโรค ที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุคือการติดเชื้อราและเกิดจากภูมิคุ้มกัน ถ้าเกิดจากเชื้อรา มักมีอาการอักเสบ การลอกของหนังศีรษะและเป็นสะเก็ดร่วมด้วย ส่วนชนิดที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน ในรายที่เป็นน้อยอาจมีอาการร่วงเป็นหย่อมๆ บางๆ แต่ในรายที่เป็นมาก อาจร่วงทั้งศีรษะได้ หรืออาจร่วงทั่วทั้งตัว คือมีการร่วงทั้งผมและขน ซึ่งควรไปปรึกษาแพทย์

3.ผมร่วงจากภาวะอื่นๆ เช่น การฉายรังสี การได้รับยาบางชนิด ความเครียด การดึงรั้งผมแรงๆ และต่อเนื่องนานๆ เป็นต้น ผมร่วงที่เกิดจากภาวะเครียด เช่น การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร การเจ็บป่วยเรื้อรังหรือรุนแรง การขาดสารอาหาร โรคไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น ส่วนการดึงรั้งผมอย่างแรงๆ และต่อเนื่องนานๆ มักเกิดจากการยืดผม ดัดผม ม้วนผม ย้อมผม เป็นประจำ ซึ่งล้วนมีผลทำลายความสมบูรณ์ของเส้นผม

ส่วนวิธีธรรมชาติในการรักษาอาการผมร่วง ศูนย์ข้อมูลสมุนไพร กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ว่า สมุนไพรพื้นบ้านที่สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ มี

1.เหงือกปลาหมอ โดยนำใบมาโขลกผสมน้ำ คั้นออกมาทาหนังศีรษะ บำรุงรากผม

2.ขิงแก่ นำ 1 แง่งขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียดแล้วห่อผ้าขาวบางทำลูกประคบ แล้วเอาหม้อมาใส่น้ำและขึงผ้าขาวบางไว้ตรงปากหม้อ ต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาขิงที่ห่อผ้าขาวบางไว้มาวางบนปากหม้อ เมื่อน้ำเดือด ไอน้ำจะระเหยขึ้นทำให้ลูกประคบขิงมีความร้อน นำมาประคบบริเวณที่ผมร่วง พอเย็นเอากลับไปวางที่ปากหม้อเพื่อรมไอน้ำ แล้วเปลี่ยนอีกห่อมาประคบแทน ทำวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 20-30 นาที 3-5 วัน จะเห็นผล

3.ใบทองพันชั่ง แก้เชื้อราบนหนังศีรษะ ใช้ใบทองพันชั่งตำจนละเอียด ผสมน้ำพอเหนียว นำมาพอกบนศีรษะบริเวณที่ผมร่วง หลังสระผม จากนั้นใช้ผ้าคลุมไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าล้างออก ทำติดต่อกัน 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน อาการผมร่วงจะดีขึ้น

4.มะกรูด ให้นำมะกรูด 4 ผล ใส่หม้อแล้วต้มกับน้ำสักครู่ ใช้ไฟปานกลาง พอมะกรูดนิ่มๆ ยกลง จากนั้นผ่ามะกรูดครึ่งลูกทั้ง 4 ลูก นำไปคั้นเอาแต่น้ำมะกรูดแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำมะกรูดใส่ภาชนะไว้ หลังจากสระผมให้สะอาดไม่ต้องสระผมด้วยแชมพูอีกแล้ว ให้ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สูตรนี้เหมาะสำหรับผมร่วงที่เกิดจากแชมพูเป็นด่างมากเกินไป

5.ผักบุ้งหรือใบบัวบก เอามาตำคั้นน้ำ หมักผมประมาณ 2 นาที ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม

6.น้ำมันงา ใช้ทาผม หรือชโลมก่อนการสระผมประมาณ 15 นาที ทำให้ผมดกดำและบำรุงรากผม

7.น้ำมันงาและมะกรูด ใช้หมักผม ทำให้ผมดำและเงางาม ผสมน้ำมันงา 1-2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำคั้นจากมะกรูดสด 2-3 ผล ทำแล้วใช้หมดในครั้งเดียว

ขอขอบคุณ ที่ข่าวสด

ประโยชน์ของเกลือที่ใช้รักษา



1. โรคหวัด เมื่อเป็นจะมีอาการไอไม่หยุด ใช้น้ำเย็นต้มสุกแล้ว 1 ถ้วย ใส่เกลือ 1 ช้อนชา คนให้เกลือละลาย แล้วใช้บ้วนปากล้างคอ ทำเช่นนี้หลาย ๆ ครั้ง สามารถขจัดเสมหะในหลอดลมได้ อาการไอก็ทุเลา

2. จมูกอักเสบ คัด น้ำมูกไหลไม่หยุด จมุกอักเสบเรื้อรัง ใช้น้ำเกลือเจือจางล้าง ใช้ขวดสะอาดใส่น้ำเกลือหยอดเข้าไปในรูจมูก เพราะเกลือมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแก้อักเสบ

3. หากมีอาการคอแห้ง เสียงแหบ ให้ดื่มน้ำผสมเกลือเล็กน้อยจะรู้สึกชุ่มลำคอ

4. เร่งให้อาเจียน กินอาหารมีพิษ ดื่มสุราเกินขนาด อาหารไม่ย่อย ท้องไส้ปั่นป่วน ควรดื่มน้ำเกลือเข้มข้น จะทำให้อาเจียนออกมา

5. เป็นโรคตาแดง มีอาการบวมแดง ขี้ตามาก ใช้ผ้าขนหนูสะอาดห่อเกลือเล็กน้อย แช่ในน้ำอุ่นที่เดือดแล้ว ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตา อาจมีอาการแสบบ้างก็ทนสักครู่ จะรู้สึกดีขึ้น

6. รักษาฟัน ใช้เกลือสีฟัน ทำให้ฟันขาวแข็งแรง ป้องกันฟันผุ

7. หากยุงกัดเป็นตุ่ม ใช้เกลือขยี้บริเวณที่โดนกัด สักครู่จะหายคัน ตุ่มจะยุบ

8. ผิวหนังบวมคัน ใช้เกลือผสมน้ำแล้วทาบริเวณที่คัน จะเห็นผลทันตา

9. ถ้ารู้สึกสมองไม่แจ่มใส ใช้เกลือผสมน้ำอุ่นแล้วใช้อาบ จะรู้สึกสบาย สมองปลอดโปร่งขี้น

แข็งแรงที่กาย แข็งแรงที่ใจ



ความแข็งแรงที่สมบูรณ์แบบคือต้องแข็งแรงทั้งกายและจิตใจแต่จะทำอย่างไรล่ะ สุขภาพถึงแจ่มแจ๋วข้างนอกข้างในได้อย่างที่ต้องการ

1. ปลุกสมองด้วยน้ำชา

ในตอนเช้าแทนที่จะดื่มกาแฟอย่างเคย ลองเปลี่ยนมาดื่มน้ำชาแทน เพราะมีคาแฟอีนน้อยกว่าชาครึ่งหนึ่ง และมีแมงกานีสที่ช่วยทำให้สมองทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. ไม่ใช้ลิฟต์

ในลิฟต์แคบๆ นั้นไม่สามารถระบายอากาศได้เพียงพอ จึงมีเชื้อโรคคล่องลอยอยู่มากมาย ถ้าเปลี่ยนมาขึ้นบันไดแทน นอกจากอากาศจะดีกว่าแล้ว เรายังได้ออกกำลังกายทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้ดีขึ้นด้วย

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเอ็นโดฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้อารมณ์ดีและกระตุ้นการเผาพลาญอาหาร ทำให้อ้วนยากอีกด้วย

4. ใช้ถุงยางแบบใหม่

ช่วยให้ความรู้สึกเวลาร่วมเพศเปลี่ยนไป สร้างความแปลกใหม่ให้กับตัวเอง นอกจากนี้การใช้คอนดอมเป็นประจำยังลดความเสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก

5. เริ่มวันใหม่ด้วยธัญพืช

ได้แก่ซีเรียลธัญพืชน้ำตาลต่ำกับนมพร่องไขมันหนึ่งชาม เป็นอาหารเช้าที่เหมาะกับทุดคนร่างกายจะได้ทั้งโปรตีน ไฟเบอร์ แป้ง และวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับหนึ่งวัน

6. ทานปลาเป็นประจำ

ปลามีโปรตีนสูงและช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ ช่วยลดโคเลสเตอรอลและมีไขมันที่ดีต่อร่างกาย

7. หยุดพักเสียบ้าง

ระหว่างวันควรหาเวลาสัก 10 นที หยุดพักบ้างเพื่อยืดเส้นยืดสาย ร่างกายจะได้ไม่ล้าและทำให้เลือดสูบฉีดได้ทั่วตัว เช่น ลุกขึ้นมาเดิน หรือก้มตัวขึ้นๆ ลงๆ ที่โต๊ะ

8. กินอาหารทะเล

อาหารทะเลมีวิตามินบี 6 อยู่เป็นจำนวนมากจะช่วยลดอาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือนได้และยังช่วยลดอัตราการเป็นอัลไซเมอร์ได้ถึง 4 เท่า

9. ใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหาร

เพราะเศษอาหารจะทำให้มีกลิ่นปาก จึงควรกำจัดออกไปเพื่อรักษาฟันให้แข็งแรงและบุคลิกภาพที่ดี

10. กินเต้าหู้

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและแคลอรีสูง หันมากินโปรตีนจากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ถั่วเหลือง นมถั่วเหลือง อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง จะสามารถลดแคลอรีได้ถึง 100 – 150

ที่มา : นิตยสาร SPICY

ทานอาหารไม่ตรงเวลา..เน้นมื้อเย็น



ระวัง!!เป็น ‘โรคกรดไหลย้อน’

ใครที่มีพฤติกรรมระคายเคืองบริเวณลำคอตลอดเวลา หรือมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือหลังอาหารมื้อหลักมักจะมีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียน อาการเหล่านี้มักเป็นลางบอกเหตุของการเกิดโรคกรดไหลย้อน ??

พญ.พรรณนภา ศรีนิลทา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน หู คอ จมูก โรงพยาบาลปิยะเวท อธิบายถึงลักษณะของโรคกรดไหลย้อนให้ฟังว่า คนไข้มักจะมาด้วยเรื่องอาการของคอและกล่องเสียงเป็นส่วนใหญ่ เช่น เสียงแหบ บางคนมาด้วยอาการกระแอมตลอดเวลา เช้า กลางวัน เย็น เหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ โดยเฉพาะในช่วงตอนเช้า เนื่องจากเวลานอน บางรายพูด ๆ ไปเสียงก็หายไป หรือเสียงแห้งไปเลย รวมทั้งรู้สึกว่ามีอะไรร้อน ๆ อยู่ในช่องคอ จุกแน่นบริเวณหน้าอก รู้สึกเหมือนว่าในลำคอมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ เมื่อกลืนอาหารเหมือนมีอะไรมาติดอยู่ในคอ กลืนอาหารลำบาก มีอาการปวดแสบปวดร้อนในหน้าอก โดยอาการเหล่านี้ผู้ป่วยมักกังวลเพราะไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร หาที่มาของอาการไม่ได้ บางคนกังวลกลัวว่าตนเองจะเป็นมะเร็ง ก็จะมาหาหมอ

เมื่อมาหาหมอ หมอ จะตรวจโดยดูในส่วนของคอ โดยมีอุปกรณ์พิเศษ ไม่ใช่แค่เอาไม้กดลิ้นธรรมดา แต่จะใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นแท่งเหล็กที่ปลายเป็นกระจกเพื่อสะท้อนรูปร่างของกล่องเสียงให้หมอได้เห็น หากเป็นโรคกรดไหลย้อนลงกล่องเสียง จะพบว่า บริเวณกล่องเสียงส่วนหลังจะบวมแดง หรือบางรายอาจลามไปยังส่วนของเส้นเสียงด้วย คนไข้จึงมาด้วยอาการเสียงแหบ

“ส่วนอาการบวมของกล่องเสียงส่วนหลังนั้น ต้องนึกภาพว่าเรามีท่อพีวีซีอยู่ 2 ท่อ นำมาวางเป็นท่อข้างหน้ากับท่อข้างหลัง โดยท่อข้างหน้า คือ อวัยวะที่เรียกว่า กล่องเสียง ที่ต่อลงไปยังส่วนของปอด และหลอดลม ส่วนท่อด้านหลัง คือ อวัยวะที่เรียกว่า หลอดอาหาร ที่ต่อไปยังส่วนของกระเพาะอาหาร เมื่อมีภาวะที่เรียกว่า กรดไหลย้อน ที่มีสาเหตุมาจากการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารจานด่วนทั้งหลาย ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมทั้งมีพฤติกรรมชอบกินอาหารเย็นหนัก ๆ แล้วนอนเลย อาหารจึงยังตกค้างอยู่ในกระเพาะ ร่างกาย ก็ต้องหลั่งกรดออกมาย่อยอาหารที่ยังตกค้างเหล่านั้น ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ เกิดอาการแสบระคายเคืองขึ้นมาบนคอในส่วนของกล่องเสียงด้านหน้าได้ ซึ่งปกติ กล่องเสียงของคนเรานั้น เนื้อเยื่อไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อให้ทนกับกรด จึงเกิดอาการบวม นั่นคือ อาการที่ทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บคอเหมือนมีอะไรอยู่ในคอ รวมทั้งเมื่อเนื้อเยื่อมีอาการบวมแดง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือ จะมีการผลิตคล้ายเมือกออกมา ซึ่งนี่เองคือสาเหตุที่ว่า ทำไมคนไข้ถึงรู้สึกเหมือนมีเสมหะอยู่ในลำคอ มีอาการกระแอมตลอดเวลา”

การเกิดของโรคนี้ ต้องแก้ที่สาเหตุในส่วนของการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เพื่อจัดการให้มีกรดไหลย้อนขึ้นหลอดอาหารน้อยที่สุด เริ่มจากการทานอาหารต้องทานให้ตรงเวลา และไม่ทานอาหารมากหรืออิ่มจนเกินไปในแต่ละมื้อ

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ที่มีใยอาหารให้มากขึ้น ในส่วนของ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรงด แล้วเปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เมื่อทานอาหารเสร็จให้นั่งหรือทำอะไรก่อนอย่าเพิ่งนอนทันที โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้อาหารได้มีการย่อยแล้วค่อยเข้านอน

ส่วนใครที่มีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐานมาก ๆ ควรหาทางลดน้ำหนัก เนื่องจากไขมันในช่องท้อง และไขมันรอบพุงต่างก็มีส่วนเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ควรหมั่นหาเวลาว่างออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งควบคุมเรื่องอาหารการกิน

หากเป็นโรคนี้แล้ว ต้องใช้เวลาในการรักษา นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานอาหารแล้ว ยังต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอ โดยจะเป็น กลุ่มยาลดกรด รวมทั้ง กลุ่มยาที่ช่วยทำให้มีการบีบตัวของกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร และลำไส้ ให้พอเหมาะมากขึ้น อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็น กลุ่มยาที่ช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลขึ้นมาในส่วนของกล่องเสียง ซึ่งกลุ่มยา 2 กลุ่มหลังจะเป็นยาที่ช่วยเคลือบไม่ให้มีกรดขึ้นมา ช่วยให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น แต่กลุ่มยาที่สำคัญ คือ ยาลดกรด เพื่อไม่ให้คนไข้มีกรดมาก ซึ่งจะต้องทานเป็นระยะเวลานาน โดยทานก่อนอาหารเช้า เย็น อย่างน้อย 3 เดือน อาการจึงจะดีขึ้น บางคนต้องทานเป็นปี

“ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับคนไข้ในการดูแลตนเองด้วย ถ้าคนไข้มาหาหมอได้ยากลับไปทาน แต่ยังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินชีวิตเสียใหม่ รักษาอย่างไรก็คงไม่หาย คงต้องพึ่งพายาตลอดไป”

การรักษาบางรายอาจต้องรักษาร่วมกับหมอทางเดินอาหารในบางกรณี เช่น ทานยาแล้วไม่หายทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติตนดีแล้ว 3 เดือน ไม่รู้สึกดีขึ้น อาจจะต้องมีการส่องกล้องว่า มีภาวะอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร มีการอักเสบของกระเพาะอาหารร่วมด้วยหรือไม่

กรดไหลย้อน แม้เป็นโรคที่ไม่น่ากลัว แต่เมื่อเป็นแล้วจะทำให้รู้สึกรำคาญ เสียบุคลิก รู้สึกกังวลกับอาการ ที่เป็นอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลตนเอง จัดระเบียบชีวิตประจำวันให้ดี จะได้ไม่เป็นโรคนี้ เพราะเป็นแล้วต้องใช้เวลาในการรักษานานนั่นเอง.

สรรหามาบอก

- ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลปิยะเวท ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “โรคเส้นประสาทเสื่อมจากเบาหวาน” โดยนายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล ใน วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 08.00-12.00 น. ณ ห้องรสสุคนธ์ ชั้น 16 โรงพยาบาลปิยะเวท โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สนใจสอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ 0-2625-6555

- สโมสรนักศึกษาคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนตรวจสุขภาพฟันฟรี ในงาน “ฟันสวยยิ้มใสครั้งที่ 20” ใน วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 11.00-18.00 น. ณ บริเวณชั้น 2 หน้าลิฟต์แก้ว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต โดยภายในงานได้มีการให้บริการตรวจสุขภาพในช่องปาก, การประกวดคำขวัญและเรียงความเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก, การประกวดหนูน้อยฟันสวย ครั้งที่ 20 ฯลฯ สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0-2667-5555 ต่อ 4114, 08-1531-8787

- ชมรมถุงลมโป่งพอง ร่วมกับมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย ขอเชิญร่วมงาน “วันถุงลมโป่งพองโลก” พบกับนิทรรศการ และการอภิปรายให้ความรู้เรื่อง “ไข้หวัด 2009 ในผู้ป่วยถุงลมโป่งพอง” และ “โรคถุงลมโป่งพองกับพิษภัยบุหรี่” พร้อมให้บริการตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด วัดปริมาณไขมันและน้ำตาลใต้ผิวหนัง วัดอายุปอด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2552 เวลา 12.00-16.00 น. ณ ห้องคริสตัล ชั้น 2 โรงแรมตวันนารามาดา ถนนสุรวงศ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ผู้สนใจลงทะเบียนร่วมงาน โทร.0-2617-0649, 08-6535-0872.

เคล็ดลับสุขภาพดี

‘มะเฟือง’ มากประโยชน์…ช่วยลดอาการนอนไม่หลับ

“มะเฟือง” เป็นผลไม้ที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า “สตาร์ฟรุต” (Star Fruit) เพราะเมื่อหั่นผลตามขวางแล้วจะได้ชิ้นมะเฟืองที่มีรูปร่างเหมือนดาวห้าแฉก โดยรสชาติของมะเฟืองนั้นจะออกรสเปรี้ยวอมหวานคล้ายลูกผลัม สับปะรดและมะนาวผสมกัน ซึ่งท่านทราบหรือไม่ว่า มะเฟืองนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากมายทีเดียว

มะเฟืองมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชีย เจริญเติบโตได้ดีในเขตที่มีความชื้นสูงแต่ในที่แห้งแล้งก็สามารถเจริญเติบโตได้ นิยมปลูกในสวนหลังบ้านปะปนกับพืชอื่น ๆ มีลักษณะเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มปานกลาง มีความสูง 6-15 เมตร กิ่งจะห้อยลง ใบ มีสีเขียว ลักษณะใบรวมแบบขนนก มีใบย่อย 5-11 ใบ มีรูปร่างคล้ายรูปไข่ ขนาด 2-5 เซนติเมตร ดอก จะแตกจากซอกก้านใบ มีสีชมพูอ่อนจนถึงสีม่วง ดอกขนาดเล็กเมื่อเวลาดอกบานมีกลิ่นหอม ผล มีลักษณะรูปไข่ มีร่องกลีบลึกเห็นได้ชัดเจน ขนาด 7-13 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกจะมีสีเขียวปนเหลืองหรือน้ำตาลมีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวหรือหวานแล้วแต่ชนิดของพันธุ์ บางครั้งมีรสฝาด

นักโภชนศาสตร์ได้ วิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองแล้วพบว่า อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงาน ซึ่งสารอาหารที่พบในมะเฟืองหนึ่งผลนั้นสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย กล่อมประสาทช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ

สรรพคุณทางยาสมุนไพร ใบ ใช้ใบสด นำมาตำให้ละเอียด ใช้ทาแก้กลากเกลื้อน แก้ปวดฟัน และใช้ทารักษาอีสุกอีใส ใบและราก ใช้ใบและรากสด นำมาต้มเอาน้ำเป็นยาแก้พิษร้อน แก้ไข้ ใบและผล ใช้ใบและผลสด นำมาต้มกินเป็นยาแก้ไข้ แก้อาเจียน ดอก ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ผล ใช้ผลสด นำมาคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้บิด ขับน้ำลาย แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ไข้ แก้กระหาย แก้เมา แก้ท้องร่วง ลดอาการอักเสบ ขับปัสสาวะหรือใช้ผสมกับสารส้มหรือสุรากินแก้โรคนิ่ว เปลือกลำต้นมะเฟือง นำมาต้มน้ำดื่มแก้อาการเมาเหล้า เมารถ แก้ไข้ ท้องร่วง และแก้พิษยาเสพติดที่ร้ายกาจอย่างเฮโรอีนได้ แต่มี ข้อห้ามใช้คือ สตรีที่ตั้งครรภ์ไม่ควรที่จะรับประทานผลมะเฟืองมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้แท้งลูกได้ เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยทำให้เลือดแข็งตัวง่าย

ดังนั้นการกินมะเฟือง จะกินทั้งผลที่ให้รสชาติอมหวานอมเปรี้ยวถูกใจ หรือจะกินแบบเป็นเครื่องเคียงในอาหาร เช่น กินกับแหนมเนืองก็อร่อยเข้ากันดี หรือจะนำมาคั้นเป็นน้ำมะเฟืองแช่เย็นไว้ดื่มเพื่อดับกระหายก็ได้เพราะน้ำมะเฟืองจะช่วยดับร้อนใน แก้กระหายและสำหรับผู้ที่เป็นโรคนิ่ว น้ำมะเฟืองก็จะช่วยขับปัสสาวะและสลายนิ่วได้ดีอีกด้วย

เมื่อทราบสรรพคุณของมะเฟืองกันแบบนี้แล้วอย่าลืมเลือกรับประทานผลไม้รูปดาวนี้ที่ไม่ใช่แค่สวยงามอย่างเดียวแต่ยังมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพอีกด้วย.

ที่มา เดลินิวส์

12 วิธีอยู่อย่างไรให้ห่างไกลมะเร็ง



1.ไม่สูงบุรี่กินเหล้า คิดว่าข้อแรกนี้หลายคนก็คงตระหนักดีว่าการสูงบุหรี่และการดื่มแอลกฮอล์ คือการเพาะเชื้อมะเร็งดีๆ นี่เอง แต่ไม่แปลกแฮะ เพราะคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ไม่เห็นจะกลัวเลยสักนิด ทั้งๆ ที่รู้ว่าการทำแบบนี้จะส่งผลร้ายต่อสุขภาพ เพราะแอลกฮอร์และสารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้ปอดทำงานหนัก นอกจากนั้นแล้วคนที่ยังเสพแก่ง่าย หนังเหี่ยวไม่น่าดูอีกด้วย
2.ไม่นอนดึก คนไหนที่ชอบนอนดึกเป็นประจำล่ะก็ รู้เอาไว้เลยว่าการนอนอดึกทำให้อ้วน หน้าเป็นสิว ผิวหนังไม่สดใส และที่สำคัญคือจะทำให้ร่างกายไม่มีฮอร์โมนต่อต้านมะเร็งหลั่งออกมาที่สำคัญยังทำให้เกิดโรคอื่นๆ ตามาอีกมากมาย อาทิเช่น โรคไขมันสูง โรคอ้วน ที่ทำให้ไขมันสูง โรคอ้วน ที่ทำให้ไขมันตามตัวสร้างขึ้นให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวได้ดีขึ้น และโรคความดันโลหิตสูง รู้อย่างนี้แล้ววันนี้ปิดไฟนอนแต่หัวค่ำเลยครับ
3.ไม่เครียด รู้ไหมว่าการทำหน้าดำคร่ำเครียดนั้นนอกจากจะทำให้ผู้อื่นไม่อยากเข้าใกล้แล้วร่างกายของคุณยังจะหลั่งสารทุกข์ออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งอีกด้วยนะ ทั้งนี้ก็ยังรวมไปถึงคนที่เห็นแก่ตัวไม่ค่อยชอบทำบุญด้วย ฉะนั้นยิ้มไว้อย่าเครียดเลย
4.ไม่กินไขมันและเนื้อแดงมากเกินไป รู้นะว่าไขมันและเนื้อแดงเป็นสิ่งที่อร่อยลิ้น แต่ขอร้องเถอะอย่ากินมากนักเลยเพราะอาการเหล่านี้น่ะมีไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่ใช้เจริญได้ดี เพราะมันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดุดกินเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลี้ยงอวัยวะอื่นๆ เลยฉะนั้นหันมาบริโภคผักและผลไม้แทนให้เยอะๆเถอะนะ
5.เป็นโรคไวรัสตับอักเสบบีและภูมิแพ้ สำหรับคนที่เป็นโรคไวรัสอักเสบบีและโรคภูมิแพ้นั้น ต้องบอกว่าให้เตรียมตัวระวังให้ดี เพราะโรคดังกล่าวนี้จะทำให้ร่างกายอ่อนแอ และทำให้เซลล์มะเร็งแข็งแรงนั่นเอง
6.เสริมสร้างวิตามินให้ร่างกาย อาหารเสริมหรือวิตามินนั้นจำเป็นต่อร่างกายไม่น้อยเลยครับ เพราะเราอาจจะได้จากผักและผลไม้ไม่เพียงพอ และวิตามินนี้ยังทำหน้าที่ต้านเชื้อมะร็งได้อีกด้วยนะครับคราวนี้เห็นความสำคัญของวิตามินรึยัง
7.ไม่กินของร้อนจัดเกินไป กินของร้อนเกินไปนั่นไม่ดีนะครับ เช่น ชา กาแฟ ก๋วยเตี๋ยว เป็นต้น เพราะการที่เรากินของร้อนๆ เป็นประจำนั้น เพราะการที่เรากินของร้อนๆ ประจำนั้น มันจะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกวันนั้นก็จะมีอากาศเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น
8.ไม่ทำให้โคเลสเตอรอลลดต่ำ สาวๆ หลายคนนั้นไม่กล้ากินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูงเพราะกลัวอ้วน แต่ขอบากว่าอย่างระวังให้มากนัก เพราะถ้าโคเลสเตอรอลต่ำเกินไปจะมีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิคุ้มกันต่ำแล้วเซลล์มะเร็งจ้ะข่ามาหาได้ง่ายขึ้น
9.อย่ากลั่นปัสสาวะ ผู้หญิงส่วนมากนั้นชอบกลั่นปัสสาวะจนเคยตัว เพราะบางทีขี้เกียจ บางทีเจอห้องน้ำที่ไม่สะอาด หรือนั่งรถนานๆ ก็ตัดสินใจกลั่นซะงั้น ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพมากๆ เพราะน้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่ ก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้
10.อย่ากินเค็มจัด ใครที่กินข้าวเคล้าน้ำตา เอ๊ย! น้ำปลาอยู่บ่อยๆ หรือกินปลาเค็มจนเกินลิมิตนั้นให้ระวังเอาไว้เลย เพราะจากการวิจัยพบว่าการที่เราทานอาหารเค็มมากๆ นั้นมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็มเนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย
11.ประวัติมะเร็งในครอบครัว เพาะมะเร็งร้ายสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ ใครที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ ฯลฯ เตรียมตัวเตรียมใจไว้เลยเพราะคุณอยุ่ในกลุ่มเสี่ยงแต่ถ้ารักษาตัวดีๆ ออกกำลังกาย กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ คุณก็อาจจะรอดนะ
12.อย่าตากแดด เพราะว่าในแสงแดดมีทั้งรังสี UVA,UVB ต้นเหตุมะเร็งผิวหนัง ดังนั้นเวลาออกไปข้างนอกให้กางร่มหรือสวมหมวกเสื้อแขนยาวคลุมร่างกายสำหรับใครที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะต้องทำงานกลางแดดล่ะก็ ให้ประโคมครีมกันแดดเยพะๆเลยครับ ที่สำคัญคือถ้าหลบเลี่ยงไม่ได้ก็ควรทำเลย นั่นเพราะแสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมดและเมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้

ขอของคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy

ทำไมเราจึงเป็นตะคริว และทำอย่างไรจะไม่เป็น



น.พ.วีรศักดิ์ เมืองไพศาล จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายดังนี้ ตะคริว (cramp) คือการที่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรงเป็นเวลานาน โดยทั่วไปมักเกิดไม่เกินสองนาที แต่อาจมีบางรายเกิดนานได้ถึงห้านาทีหรือกว่านั้น และบางรายอาจเกิดบ่อยจนทำให้เกิดความทุกข์ทรมานได้ อาการนี้แม้จะไม่ส่งผลถึงแก่ชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ถ้าเกิดระหว่างว่ายน้ำ หรือขับรถ คืออาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

สาเหตุของการเกิดตะคริว ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีอยู่หลายทฤษฎี ทางหนึ่งระบุว่าอาจเกิดจากการที่เอ็นและกล้ามเนื้อไม่ได้มีการยืดตัวบ่อยๆ ทำให้มีการหดรั้ง เกร็งได้ง่ายเมื่อมีการใช้

กล้ามเนื้อนั้นมากเกินไป นอกจากนั้นยังอาจเกิดจากเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติไป และประการสุดท้ายอาจเกิดจากการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีพอ ซึ่งมักพบในคนที่มีโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น

ส่วนตัวกระตุ้นการเกิดตะคริว ในผู้ป่วยบางรายอาจเกิดจากยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมันในเลือด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด เป็นต้น นอกจากนั้นโรคทางกายบางอย่าง เช่น โรคไตวาย โรคเบาหวาน โรคของต่อมธัยรอยด์ ซีด น้ำตาลในเลือดต่ำ โรคพาร์กินสัน ร่างกายขาดสารน้ำและความผิดปกติของเกลือแร่ในร่างกาย ได้แก่ แมกนีเซียม แคลเซียม โปแตสเซียม ยังทำให้เกิดตะคริวขึ้นได้ง่าย หรือการทำงานมากๆ จนเมื่อยล้า หรือนั่งขดแขนขาอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ก็อาจทำให้เกิดตะคริวขึ้นได้เช่นกัน เพราะเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงแขนขาได้สะดวก

การดูแลตตัวเองเมื่อเป็นตะคริว คือยืดกล้ามเนื้อที่เกิดตะคริวนั้นให้คลายออกอย่างช้าๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าเกิดตะคริวที่น่องจะทำให้เกิดเกร็งปลายเท้าจิกชี้ลงพื้นดิน ให้เหยียดเข่าและกระดกปลายเท้าขึ้นช้าๆ หรือยืนกดปลายเท้ากับพื้น แต่ห้ามกระตุก กระชากรุนแรงอย่างรวดเร็ว เพราะจะเจ็บปวดจนกล้ามเนื้อฉีกขาดได้ ทาและคลึงเบาๆ ด้วยยาทาแก้ปวดหลังการยืดกล้ามเนื้อแล้ว หรือถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อท้อง ประคบด้วยน้ำอุ่น

ในรายที่เป็นบ่อยๆ มีการใช้ยา เช่น ควินีน และยาคลายกล้ามเนื้อบางชนิด ซึ่งอาจใช้ในระยะประมาณ 4-6 สัปดาห์และดูการตอบสนอง แต่ผลการศึกษาถึงประโยชน์ยังไม่ชัดเจนนัก และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ในบางราย เช่น เกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวต่ำ ตับอักเสบ หูอื้อ เสียงดังในหู เวียนศีรษะ เป็นต้น โดยทั่วไปจึงมักไม่ค่อยได้ใช้กัน

การป้องกัน

1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะตะคริวมักเกิดในผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หรือคนที่ขาดการออกกำลังกายที่ดีพอ สำหรับนักกีฬา ควรอบอุ่นร่างกาย โดยเฉพาะการยืดกล้ามเนื้อ ให้เพียงพอก่อน และควรเตรียมสภาพร่างกายให้สมบูรณ์พร้อมอยู่เสมอ
2.ฝึกยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ อาจลดโอกาสการเกิดตะคริวได้ เช่น ที่น่องอาจทำได้โดยการกระดกเท้าขึ้นลง หรือเอามือแตะปลายเท้าขณะเหยียดเข่า ปั่นจักรยานอยู่กับที่ หรือยืนบนส้นเท้าห่างผนัง 1 ฟุตแล้วเอามือทาบผนังและค่อยๆ เหยียดแขนออกเพื่อยืดกล้ามเนื้อประมาณ 30 วินาทีแล้วทำใหม่ เป็นต้น
3.ถ้าออกกำลังกายหนักควรดื่มน้ำและเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ
4.ควรพักผ่อนให้เพียงพอ
5.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
6.ผู้สูงอายุควรค่อยๆ ขยับแขนขาช้าๆ และหลีกเลี่ยงอากาศเย็นมากๆ
7.สวมรองเท้าที่พอเหมาะและอาจใส่ถุงเท้าตอนนอนเพื่อป้องกันการเกร็งของเท้า
8.ในรายที่เป็นบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแก้ไข

ขอขอบคุณ ข่าวสด

น้ำดื่ม อะไรดี ?!? …..



ความสำคัญของน้ำที่มีต่อมนุษย์เป็นเรื่องที่รู้กันมาตั้งแต่โบราณกาล

หลายคนรู้เพียงแต่ว่า น้ำเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหาย อีกหลายคนรู้ว่า น้ำมีส่วนสำคัญต่อระบบและอวัยวะในร่างกายของมนุษย์ ขณะที่อีกหลายคนก็มีความเชื่อว่า น้ำนี่แหละเป็นคลังที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ ได้

ขณะเดียวกับอีกจำนวนไม่น้อยที่พบว่า ต้นเหตุของการเจ็บป่วยหลาย ๆ โรคนั้น มีต้นเหตุจาก การดื่มน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

เรื่องนี้ เอชทูโอ ไลฟ ซอร์ส (ประเทศไทย) ได้ตีแผ่บทความของ 2 ด็อกเตอร์ F Batmangheligj เจ้าของหนังสือ Your Body Cries For Water และ Theodore Baroody ผู้เขียนหนังสือ Alkalize or Die ที่เห็นพ้องต้องกันเกี่ยวกับความสำคัญของน้ำ

นั่นเพราะพวกเขาพบว่า การที่เราขาดน้ำหรือได้รับน้ำที่ไม่เพียงพอจะทำให้ร่างกายเราอยู่ในสภาวะกรดหรือเบสมากเกินไป เกิดจากอาหารและ เครื่องดื่มที่เราบริโภคเข้าไป มีผลทำให้เอนไซม์ทำงานไม่ได้ หรือได้ก็ไม่ดีเท่าที่ควร จึงเป็นอันตรายต่อร่างกาย จนอาจถึงแก่ชีวิตได้

ส่วนเครื่องดื่มตัวร้ายที่สร้างความปั่นป่วนให้กับร่างกายนั้นมีจำนวนไม่น้อย

น้ำอัดลม ถูกระบุว่าเป็นเครื่องดื่มที่เรียกว่า a little death หรือเครื่องดื่ม ′ตายผ่อนส่ง′ เพราะทำให้เลือดมีความเป็นกรด ทำให้ต่อมหมวกไตทำงานหนักขึ้น

ชา กาแฟ จะทำให้เกิดความผิดปกติในการหลั่งอะดรีนาลีน ส่วนน้ำประปาที่บอกว่าดื่มได้นั้น ก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้ร่างกายผิดปกติจากท่อประปาที่อาจป็นอะซิดิกซึ่งมีขั้วไฟฟ้าเป็นลบและเมื่อรับเข้ามาในร่างกาย อะซิดิกจะเข้ามาชิงอิเล็กตรอนในร่างกาย

เพราะอะไร ๆ ก็ดูว่าอันตรายไปเสียหมด จึงมีกรรมวิธีหลากหลายเกิดขึ้นเพื่อทำให้น้ำนั้นสะอาดพร้อมดื่มจริง ๆ

จากรุ่นเก่าดั้งเดิมที่จำความได้ก็จะเป็นการกรองน้ำแบบธรรมดา กรองน้ำโดยผ่านชั้นแร่ธาตุ ไปจนการปรับสภาพน้ำด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์

ชื่อเรียกของน้ำเหล่านี้ มีทั้งน้ำไอออนไนซ์, น้ำรีดิวส์, น้ำไมโครคลูสเตอร์ หรือน้ำอัลคาไลน์

ศ.คิม ยอง ควี ศาสตราจารย์ทางด้านการวิจัยเกี่ยวกับ Water Science ในเกาหลี ค้นพบว่า โมเลกุลของน้ำสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยกระบวนการ ′อิเล็กโตรลิซิส′ วิธีการที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปในน้ำ จนเกิดการแลกเปลี่ยนโมเลกุลระหว่างโลหะกับแร่ธาตุ ทำให้น้ำมีความเป็นด่าง อ่อน ๆ เหมาะกับการดื่มเพื่อปรับสมดุลให้กับร่างกาย

อีกทั้งขนาดของโมเลกุลของน้ำจะมีอนุภาคเล็กลงทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม และรวมตัวเข้ากับ แร่ธาตุ สารอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย

ส่วนใครจะเลือกดื่มน้ำอะไร ชนิดไหน เลือกกันได้เอาตามใจชอบนะคุณ

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

10 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับมะเร็ง



1. เมื่อมีอายุมาก มะเร็งเติบโตช้า มะเร็งเป็นโรคของคนแก่ คือร้อยละ 60 ของผู้ป่วยมะเร็งพบในคนอายุมากกว่า 65 ปี ของผู้ป่วยวัยนี้มีโอกาสพบมากขึ้นถึง 10 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับคนอายุน้อยกว่าและมีโอกาสเสียชีวิตจากมะเร็งเพิ่มขึ้นถึง 15 เท่าทั้งนี้ เซลล์มะเร็งจะเติบโตเร็วหรือช้าไม่ได้ขึ้นอยู่กับวัยอายุไม่ไช่ตัววัดการเติบโตของมะเร็งมากขึ้น ในความเป็นจริงก็คือ เมื่ออายุเฉลี่ยของผู้หญิงจะอยู่ในวัย 69 ปี ผู้ชาย 67 ปี ซึ่งช่วงอายุที่ว่านี้สามารถตรวจมะเร็งโดยการตรวจทางการแพทย์ เช่นทำแมมโทแกรมเต้านม ตรวจมะเร็งลำไส้หรือมะเร็งผิวหนัง แต่มะเร็งบางชนิดที่พบในคนอายุน้อยจะมีความร้ายแรงมากกว่าคนอายุมาก ได้แก่ มะเร็งเต้านมที่เกิดในคนอายุน้อยกว่า 35 ปี หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เกิดในคนอายุน้อยกว่า 40 ปี หรือมะเร็งดำเนินโรคที่รุนแรงและรักษาได้ยากกว่า

2. ผู้หญิงและผู้ชายมีความเสี่ยงเท่ากัน จากสถิติ ผู้ชายเป็นมะเร็งบางชนิดมากกว่าผู้หญิงถึง 3 เท่า เช่น มะเร็งผิวหนัง เนื่องจากผู้ชายทาครีมกันแดดน้อยกว่า นอกจากนี้ผู้ชายก็สามารถเป็นมะเร็งเต้านมได้เหมือนกัน แต่พบเพียงร้อยละหนึ่งของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมเท่านั้น และกว่าที่ผู้ชายจะรู้ตัวก็มันจะรักษาให้มีโอกาสรอดได้ยาก จึ้งแย้กว่าผู้หญิง และมะเร็งบางชนิดเป็นเฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น เช่นมะเร็งต่อมลูกหมากของผู้ชาย หรือมะเร็งปาดมดลูกที่เป็นเฉพาะผู้หญิง

3. แอลกออล์ไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็ง ข้อเท็จจริงก็คือ ยิ่งบริโภคแอลกอฮอร์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งเสี่ยงกับมะเร็งเท่านั้น เพราะการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะนำไปสู่โรคมะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อนและมะเร็งหลอดอาหาร ที่สำคัญคือ ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์จะเสี่ยงกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เหตุผลก็คือ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปอาจทำให้ร่างกายไม่อาจขจัดฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ดีและการที่มีฮอร์โมนมากเกินไปก็อาจจะเสี่ยงกับมะเร็งในผู้ชายหรือผู้หญิง ที่สำคัญก็คือ การสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ด้วยก็จะเมความเสี่ยงกับมะเร็งปอดนอกจากนี้บุหรี่อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย

4. คนที่ไม่ได้กินผลไม้ มีความเสี่ยงสูงกับโรคมะเร็ง นี่คือความเข้าใจครึ่งหนึ่งของผุ้ตอบแบบสอบถามในประเทศที่ร่ำรวย ในความเป็นจริงก็คือทั้งผักละผลไม้สามารถป้องกันมะเร็งได้ แต่ต้องเป็นผักและผลไม้ที่ปลอดจากสารพิษ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโรคได้แนะนำให้รับประทานอาหารผักและผลไม้สดที่ปลอดจากสารพิษปริมาณ 400 กรัมต่อวัน ซึ่งมังสวิรัติหรือนักกีฬามักดูแลสุขภาพด้วยตนเองด้วยการกินผักและผลไม้คือคนที่ที่ใส่ใจกับสุขภาพและควบคุมน้ำหนักตัวก็จะลดความเสี่ยงกับโรคมะเร็ง ในขณะที่คนอ้วนมักมีความเสี่ยงสูงกับโรคมะเร็งเพราะขาดความใส่ใจในเรื่องของการกิน

5. ความเครียดและอาหารเป็นพิษทำให้เป็นมะเร็ง การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและการเกิดโรคมะเร็งในช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมาได้ผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน แต่ไม่พบว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าความเครียดมีพลกระทบประสาทและต่อมไร้ท่อ ซึ่งอาจมีผลทางอ้อมต่อการเกิดโรคมะเร็ง ทั้งนี้ ประมาณ 78 % ของประชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วคิดว่า อากาศเป็นพิษทำให้เกิดโรคหอบหืดและโรคปอดเรื้อรัง และจาการศึกษาทำไห้อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้น และก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่าอากาศเป็นพิษทำให้เกิดเป็นมะเร็งหรือไม่ แต่จากการศึกษาในประเทศอเมริกาชี้ให้เห็นว่า สารพิษเป็นอันตรายต่อเด็กและสตรีในครรภ์ นักวิจัยจึงคาดว่าสารเคมีจะส่งผ่านไปสู่ทารก ซึ่งจะทำให้ยีนเสียหายและทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นโรคคลูคีเมียได้ในอนาคต แต่ผู้เชี่ยวชาญมะเร็ง แค่ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิจารณ์การศึกษานี้ว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัด

6. เป็นมะเร็งแล้วต้องตาย ผู้คนในประเทศกำลังพัฒนามักคิดว่า หากเป็นมะเร็งและจะต้องตายแน่ๆ แต่ที่ต้องตายก็เพราะความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับมะเร็งมากกว่า ในความเป็นจริงแล้วผู้ป่วยมะเร็งควรได้รับการตรวจรักษามะเร็ง ไม่ว่าจะทำให้รอดหรือเสียชีวิตก็ตาม เพราะยิ่งพบมะเร็งเร็วและได้รับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพก็จะยิ่งมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งลำไส้ มะเร็งผิวหนัง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งปอดแล้วมะเร็งดังกล่าวมีทางรักษาได้รอดชีวิตมากกว่าทั้งนี้ ประมาณ 75 % ของประชากรในประเทศยากจนมักปล่อยให้แพทย์เป็นผุ้ตัดสินใจเกี่ยวกับการศึกษามะเร็งทั้งหมด ในขณะที่ประชาการในประเทศที่พัฒนาแล้วอยากมีส่วนร่วม กับแพทย์ในการตัดสินใจรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบันนี้โรคมะเร็งที่รักษาให้หายขากได้ร้อยละ 49 ของผู้ป่วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค รวมทั้งสุขภาพของผู้ป่วยและวิธีการักษาที่ถูกต้องต้องมีประสิทธิภาพ

7. การผ่าตัดและการฉายแสงทำให้มะเร็งลุกลาม คนทั่วไปมักหวาดกลัวกับการรักษาด้วยการฉายแสง ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดเกี่ยวกับอันตรายจากรังสีทั้งนี้ การฉายแสงสามารถรักษามะเร็งได้ 40% โดนรังสีมีข้อบ่งชี้หลายประมาร ได้แก่การบำบัด อาการเจ็บที่หวังผลหายขาด รักษาเสริมหลังการผ่าตัดหรือลดขนาดก้อนมะเร็ง เพื่อผ่าตัดก้อนมะเร็งออกให้หมด

การฉายแสงจะช่วยทำให้มะเร็งเล็กลงเพื่อให้แพทย์ผ่าตัดออกได้ง่ายขึ้น และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าการผ่าตัดจะทำให้มะเร็งลุกลาม ในสมันก่อนนั้นการผ่าตัดแผลใหญ่สามารถทำให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายได้จากการปนเปื้อนของเซลล์มะเร็งไปยังเนื้อเยื่อปกติ แต่ในปัจจุบันมีการผ่าตัดแบบแผลเล็กหรือผ่าตัดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญซึ่งก็จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้

8. ยาไม่อาจช่วยได้เมื่อมีอาการเจ็บปวดจากมะเร็ง เมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายจะทำให้เจ็บปวดมาก ซึ่งยาสมัยนี้สามารถช่วยได้ ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญจากองก์การอนามัยโรคได้พัฒนายาบรรเทาความเจ็บปวดตั้งแต่ยาง่ายๆ เช่น lbuprofen,Diclofenac จนกระทั้งยา Morphine ซึ่งมีทั้งชนิดฉีดดม หรือแผ่นแปะผิวหนัง

9. วิตามินสำเร็จรูปช่วยปกกันมะเร็ง จากการศึกษาของนักวิชาการทางการแพทย์พบว่าวิตามินศึกษาของนักวิชาการทางการแพทย์พบว่าวิตามินซีหรือเบต้าแคโรทีน ไม่ได้ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง แต่อาจทำให้เกิดผลตรงกันข้ามได้ ทั้งการศึกษาของนักวิจัยมะเร็งพบว่า ผู้ที่สูบบุรี่แล้วกินเบต้าแคโรทีนสำเร็จรูปจะมีอัตราเสี่ยงกับมะเร็งปอดมากว่า หรือกินซีล๊เนียมก็เพิ่มความเสี่ยงให้โรคเบาหวานมากขึ้น ควรรับประทานอาหารในปริมาณปกติที่ร่างกายเรารับได้จะดีกว่าการบริโภควิตามินมากเกินไป เพราะเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

10. ครีมกันแดดป้องกันมะเร็งผิวหนัง การทาครีมป้องกันรังสียูวีสามารถป้องกันมะเร็งผิวหนังไม่ได้มากนัก แต่คนส่วนใหญ่มักคิดว่าใช้ครีมกันแดดป้องกันแล้วก็จะตากแดดได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย แพทย์ผิวหนังวิจารณ์ครีมกันแดดที่มีส่วนทำให้ชาวออสซี่เสี่ยงกับโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้น เนื่องจากเข้าใจว่าเมื่อทาครีมกันแดดแล้วก็อาบแดดได้เต็มที่ที่คิดว่าปลอดภัย ดังที่มีรายงานใน Medical Journal of Australia เมื่อยี่สิบก่อนที่ดีที่สุดคือทาครีมกันแดดแล้วก็ต้องใส่เสื้อผ้าปกป้องผิวหนังอีกชั้นหนึ่ง และควรเป็นผ้าเนื้อหนาและควรมีสีเข้ม ในปัจจุบันนี้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าครีมกันแดดก่อให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง

ขอขอบคุณ : นิตยาสาร Lisa

มะเร็ง…ป้องกันได้ด้วยอาหาร



คนส่วนใหญ่กลัวมะเร็ง เพราะแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งชนิดต่างๆ เป็นจำนวนมาก ดังนั้น นิกวิชาการจึงทำการศึกษาและพบว่าอาหารจากธรรมชาติสามารถช่วยป้องกันมะเร็งได้

วิตามินซี จากการพบว่าผู้ป่วยมะเร็งมีวิตามินซีในเส้นเลือดน้อยเกินไปทั้งนี้ วิตามินซีช่วยป้องกันการทำลายหัวใจอันเนื่องจากยารักษามะเร็ง (เช่น Doxorubicim) และเป็นที่ต้องสงสัยว่าผลข้างเคียงจากการทำคีโมและการฉายแสงทำให้ปริมาณวิตามินซีลดลง

อาหารที่มีวิตามินซี ควรกินผักและผลไม้เป็นประจำสม่ำเสมอ เช่น ฝรั่ง ส้ม สตรอเบอร์รี่ กีวี พริกหวาน บร๊อกโคลี่ และกะหล่ำ

ข้อควรระวัง วิตามินซีอัดเม็ดส่วนมากมีความเข้มจ้นเกินไป ควรกินไม่เกินวันละ 100 กรัม

ผลข้างเคียง ผู้ที่สูบบุรี่จัดไม่ควรกินวิตามินซีมากเกินไป เพราะจากการศึกษาพบว่าจะเพิ่มความเสี่ยงกับโรคปอดกับมะเร็งปอด และมีผลในการลดประสิทธิภาพของยาบางชนิดหรืออาจเร่งปฏิกิริยาของยาให้แรงขึ้น ดังนั้น จึงควรสอบถามแพทย์เมื่อต้องกินยารักษาโรค

วิตามินอี ช่วยป้องกันเชลล์จากปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง (เช่น รังสียูวี สารเคมี) โดยเฉพาะผู้ป่วนที่เป็นโรคมะเร็งกระเพราะและลำไส้ รวมทั้งมะเร็งเม็ดเลือดขาวผู้ป่วยกลุ่มนี้มีวิตามินอีในเลือดน้อยเกินไป อาหารที่มีวิตามินอี เช่น เมล็ดพืชน้ำมันข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน ฯลฯ

ข้อควรระวัง ผู้ที่สูบบุรี่ไม่ควรกินวิตามินอีมาก เพราะจะช่วยเพิ่มความเสี่ยงกับโรคมะเร็งปอดเช่นเดียวกับวิตามินซี

เบต้าแคโลทีน ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง อาหารที่มีเบต้าแคโรทีน เช่น ถั่วสีเขียว แครอต บล็อกโคลี่ มะเขือเทศและฟักทอง

ผลข้างเคียง ผู้ที่สูบบุรี่ไม่ควรกินเบต้าแคโรทีนขนิดอัดเม็ดสำเร็จรูปมากกว่า 20 มิลิกรัมต่อวัน เพราะมัรจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

ซีลีเนียม แร่ธาตุตัวนี้ช่วยปกป้องเซลล์ ในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากมักพบว่ามีซีเนียมในเลือดน้อย อาหารที่มีซีล๊เนียม เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ เมล็ด ข้าวสาลี และหน่อไม้ฝรั่ง

ผลค้างเคียง สัญญาณที่เตือนว่ากินซีลีเนียมากไปก็คือลิ้นจะรู้สึกรับรสของโลหะ

สังกะสี นอกจากธาตุเหล็กแล้วสังกะสีก็เป็นแร่ธาตุจำเป็นอีกตัวหนึ่งในอวัยวะของเรา จาการศึกษาพบว่าสังกะสีต่ำก็คือ ติดเชื้อบ่อย บาดแผลอักเสบรักษายาก ท้องร่วง ผมร่วง เบื่ออาหาร ซึมเศร้า อาหารที่มีสังกะสี เช่น เนื้อสัตว์นม และผลิตภัณฑ์จากนม

ผลข้างเคียง สังกะสีจะขัดขวางการดูดซึมซีวีเนียม จึงควรที่จะทิ้งระยะการกินให้ห่างกัน เช่น เช้าหรือเย็น ไม่ควรกินสังกะสีพร้อมกับธาตุเหล็ก และไม่ควรดื่มกาปฟหรือชาดำพร้อมกับทองแดงและแคลเซียม

ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa

ใช้ครีมกันแดดอย่างไรให้เหมาะ



ถึงแม้แสงแดดจะมีประโยชน์ที่หลากหลายต่อมนุษย์ แต่การได้รับแสงแดดในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจทำให้เกิดผิวไหม้แดง เกิดฝ้า กระ และทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย ไปจนถึงอาจเกิดโรคร้ายแรงอย่ามะเร็งผิวหนัง การปกป้องแสงแดดจึงเป็นเรื่องจำเป็น และการใช้ครีมกันแดดก็เป็นทางเลือกยอดนิยมอย่างหนึ่ง หากก็ต้องเลือกให้เหมาะ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการกันแดดอย่างเพียงพอ

ครีมกันแดดโดยทั่วไปมักจะบ่งออกถึง SPF หรือประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดชนิด UVB แต่ที่ควรใส่ใจไม่แพ้กันคือค่าป้องกันรังสี UVA ซึ่งมักจะบ่งบอกไว้ด้วยคำว่า PA หรือ PPD นอกจากนี้ ครีมกันแดดที่ดีควรมี Photostability หรือความคงทนต่อแสงของครีมกันแดด ซึ่งครีมกันแดดที่ไม่คงทนต่อแสงหรือสลายไปมากกว่า 25% พลังถูกแสงยูวี จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดลดน้อยลง

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเลือกครีมที่เหมาะสมแล้ว แต่ถ้าใช้อย่างไม่ถูกต้อง ประสิทธิภาพของครีมกันแดดก็จะลดน้อยลง อย่างเช่น การทาครีมกันแดดนั้น หากจะได้ประสิทธิภาพตามที่กำหนด ก็ต้องใช้ปริมาณครีมราวหนึ่งช้อนชาต่อหนึ่งตารางเซนติเมตร หรือราวสองข้อนิ้วมือสำหรับการทาหน้าและคอ ซึ่งโดยทั่วไปคนเรามักทาน้อยกว่านั้น จึงแนะนำให้แบ่งทาครีมกันแดดสักสองรอบ โดยใช้ครีมกันแดดแต่ละครั้งราว หนึ่งข้อนิ้วมือ และทาครีมกันแดดก่อนออกแดดราว 15 นาที เพื่อให้ครีมกันแดดยึดติดกับผิวได้ดีกว่า และถ้าต้องอยู่กลางแดดเป็นเวลานานๆ ก็ควรทาครีมกันแดดซ้ำทุกสองชั่วโมง

ขอบคุณ : นิตยสาร Lisa

กินแก้หวัด


หนาวนี้อากาศเย็นกว่าเคย อาจเป็นหวัดได้ง่ายโชคดีที่ยารักษาหวัดที่ดีที่สุดหาได้จากในครัวนี้เอง

ดาร์กซ็อกโกแลต กินซ็อกโกแลตสักแท่งช่วยให้ทุเลาจากหวัดได้ เพราะมีสารทีโอโบรบีนที่ช่วยลดอาการไอและเจ็บคอ


ซุปไก่ร้อนๆ น้ำซูปไก่อุ่นๆช่วยให้คล่องคอ หายใจสะดวก โปรตีนจากไก่ช่วยฟื้นฟูพลัง ผักช่วยต้านเชื้อไวรัส ส่วนโซเดียมในเครื่องปรุงกระตุ้นให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น

กระเทียม ใช้กระเทียมปรุงอาหารทุกมื้อ คุณจะได้รับสารลดอาการคัดจมูกตามธรรมชาติมีชื่อว่าอัลลิซิน ช่วยฆ่าเชื้อและเสริมภูมิคุ้มกัน

อาหารทะเล โดยเฉพาะแซลมอลกุ้ง มีสังกะสีและซีลีเนียมสูง ช่วยฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันได้ดี รวมทั้งโอเมก้า-3 ที่ช่วยขจัดเชื้อไวรัสและลดการติดเชื้อ

ชา ชาทุกชนิดล้วนมีพอลิฟีนนอล สารแอนติออกซีเดนต์ในพืชที่ช่วยลดอาการติดเชื้อ ทำให้เยื่ยบุโพรงจมูกชุ่มชื้น หายใจสะดวก ควรชงชาในน้ำร้อนตั้งทิ้งไว้ราว 1 นาที จะดึงคุณสมบัติแก้หวัดชาได้ดีที่สุด

ขอขอบคุณ : นิตยสาร HEALH CUISINE

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการลดความอ้วน

เรื่องของ อาการหิวโหยช่วงก่อนมีประจำเดือนนั้นเป็นกันแทบทุกรายในผู้หญิง และก็เป็นกระทู้รายเดือนอีกเช่นกันครับใน "คลับลดความอ้วน"

วันนี้เลยขอนำความรู้ต่าง ๆ ที่ผมได้ผ่านตา มาเผยแพร่นะครับ ซึ่งอาจจะพอทำให้คุณผู้หญิงที่ลดความอ้วนอยู่ "มองโลกในแง่ดี" ขึ้นมาบ้าง และ "ไม่เครียดจนเกินไป" ในช่วงที่มีประจำเดือน

โดยปกติแล้ว ผู้หญิงส่วนใหญ่จะโหยหาอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต ช่วงก่อนที่จะมีประจำเดือน (สามวันก่อนมีประจำเดือนจะโหยสุด ๆ) ทั้งนี้เพราะว่าฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่คนลดความอ้วนพยายามทำกันก็คือ พยายามที่จะจำกัดอาหารให้เท่ากับที่ตนเองเคยรับประทานมาก่อนหน้านี้ แต่สุดท้ายก็ทนกันไม่ได้ เกิดอาการตะบะแตก และรับประทานไม่หยุดโดยเฉพาะอาหารขยะที่มีแคลอรี่และคาร์โบไฮเดรตสูง ทั้งนี้เพราะอาหารดังกล่าวสามารถตอบสนองความต้องการของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

สิ่งหนึ่งที่หลาย ๆ คนมองข้ามไปก็คือ ช่วงก่อนมีประจำเดือนนั้น การเผาผลาญพลังงานของร่างกายก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน โดยการนี้ Barr, Janelle, และ Prior (1995) ได้ทำการทดลองเรื่องการเผาผลาญพลังงานช่วงก่อนมีประจำเดือน และพบว่าการเผาผลาญพลังงานในช่วงก่อนมีประจำเดือนนั้นเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 100-500 Kcal/วัน (แล้วแต่บุคคล) เช่นกัน

ในประเด็นดังกล่าวนี้ Clark (1997) แนะนำว่า ให้คุณผู้หญิงที่ลดความอ้วนทุกคนที่มีอาการหิวโหยในช่วงเวลาก่อนที่มีประจำเดือนรับประทานอาหารได้เพิ่มมากขึ้น 200-500 Kcal /วัน (ห้ามเกินกว่านี้เด็ดขาด) ซึ่งนั้นก็พอ ๆ กับอาหารอีก 1 มื้อ เช่นกัน

ดังนั้น หากคุณโหยหาอาหารช่วงก่อนมีประจำเดือนก็ทานเถอะครับ อย่าหักห้ามใจตัวเองให้มากนัก การที่หักห้ามใจไม่ทานอะไรเลยในช่วงก่อนที่จะมีประจำเดือนมักจะส่งผลเสียกับการลดน้ำหนัก เพราะโดยปกติแล้วส่วนใหญ่มักจะหักห้ามใจตนเองกันไม่ได้ และก็มักจะจบด้วยอาหารขยะทั้งหลาย สาเหตุหลักก็เพราะว่าเมื่อความอดทนถึงขีดสุด ความอยากอาหารก็จะปะทุออกมาอย่างรุนแรง เมื่อความอยากอาหารที่ประทุออกมามีมาก อาหารที่สามารถตอบสนองความอยากดังกล่าวได้ดีที่สุดก็มักเป็นอาหารขยะทั้งหลาย สุดท้ายก็มักจะจบลงด้วยการกินเกินกว่า 500 Kcal

ดังนั้น คุณผู้หญิงควรจะเลือกกินอาหารที่เป็นประโยชน์เมื่อความหิวเริ่มประทุขึ้น อย่ารอให้ความหิวโหยดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด ไม่อย่างงั้นคุณอาจจะควบคุมมันไม่ได้ โดยการนี้อาจจะค่อย ๆ เพิ่มการรับประทานขึ้นมาแล้วดูว่าปริมาณอาหารแค่ไห สามารถบรรเทาอาการความหิวโหยของคุณได้ โดยไม่ควรเพิ่มขึ้นเกินกว่า 500 Kcal /วัน ช่วงก่อนมีประจำเดือน

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าคุณจะพยายามสุดความสามารถแล้วแต่ก็ไม่สามารถลดความหิวโหยดังกล่าวได้ ก็ไม่ควรคิดมากจนเกินไปครับ อย่าลืมนะครับว่าการเผาผลาญของคุณก็จะสูงขึ้นมากกว่าปกติอยู่แล้วในช่วงดังกล่าว นอกจากนี้แล้วหากมองโลกในแง่ดีการที่คุณทานมากขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ ขณะที่คุณลดความอ้วนอยู่ ยังเป็นการกระตุ้นฮอร์โมน Leptin ให้ทำงานได้ดีขึ้นและสุดท้ายก็จะส่งผลให้ระบบการเผาผลาญของคุณดีในระยะยาวอีกด้วย

อ้างอิง

Clark,N, 1997, Nancy Clark's sport nutrition guidebook, Human Kinetics,U.S.A.

Barrs,S.,Janelle, K.C., and Prior J.C., "Energy intakes are higher during the luteal phase of ovulation menstrual cycles", Am J Clin Nutr, No.61 ,pp.39-43.

หากคุณลดความอ้วนอยู่ก็ไม่ควรออกกำลังกายเกิน 1 ชม

อันดับแรกต้องปูพื้นฐานเรื่องรูปแบบพลังงานที่ร่างกายใช้กันก็ก่อนนะครับ

พลังงานที่เราใช้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ Anaerobic และ Aerobic ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังนี้

1. พลังงานแบบ Anaerobic

พลังงานประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องอาศัย อ๊อกซิเจน ซึ่งสามารถแยกย่อยออกไปได้อีก 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1.1 พลังงาน Anaerobic แบบ ATP-CP

พลังงานประเภทนี้มาจาก กลูโคส ล้วน ๆ ครับ ( กลูโคสในร่างกายส่วนใหญ่ ได้มาจากการกิน Carb นะครับ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่ร่างกายสามารถเปลี่ยน โปรตีน และ ไขมัน ให้มาอยู่ในรูปแบบของกลูโคส)

พลังงานประเภทนี้เป็นพลังงานแบบฉับพลันนะครับ และหมดลงในเวลาไม่กี่วินาที หากเปรียบไปก็เหมือนเป็นพลังงานในการจุดระเบิดให้พลังงานอื่น ๆ ทำงานต่อไป

ตัวอย่างของพลังงานประเภทนี้ เช่น การยกเวท 1-2 ครั้ง

1.2 พลังงาน Anaerobic แบบ Lacate System

พลังงานในรูปแบบนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องจากพลังงานในขั้นต้น ซึ่งจะเกิดกระบวณการหนึ่งที่เรียกว่า Glycolysis ซึ่งร่างกายจะนำ ไกลโครเจน (กลูโคสรูปแบบหนึ่งที่ร่างกายสำรองเอาไว้ใช้) มาใช้เป็นพลังงาน

พลังงานประเภทนี้จะหมดไปในเวลา 2-3 นาที

ตัวอย่างของพลังงงานประเภทนี้ คือ การวิ่งแข่งระยะสั้น (วึ่งหากต้องการวิ่งต่อไปจะต้องลดความเข้มข้นลง) หรือการยกเวทหลายครี้งติดต่อกัน

2.พลังงานแบบ Aerobic

พลังงานประเภทนี้ต้องอาศัยออกซิเจนเข้ามาช่วยสันดาบ (โดยเฉพาะไขมัน)

หลังจากที่เราเริ่มออกกำลังกายได้ประมาณ 10 นาที ร่างกายก็จะหันมาใช้พลังงานในรูปแบบนี้อย่างสมบูรณ์แบบ ( นาทีที่ 1-3 ยังเป็นพลังงานแบบ Anaerobic อยู่ ส่วนนาทีที่ 4-10 นั้นผสมผสานกันอยู่ทั้งแบบ Anaerobic และ Aerobic)

และในช่วงต้นของการใช้พลังงานประเภทนี้ (นาทีที่ 10-20) ร่างกายจะใช้พลังงานจากทั้ง ไกลโครเจน และ ไขมัน แต่จะใช้ไกลโครเจนมากกว่าไขมัน

ตั้งแต่นาที่ที่ 21 เป็นต้นไปร่างกายจึงจะดึงไขมันมาใช้เป็นอัตราส่วนที่มากหน่อย เมื่อเราออกกำลังกายนานขึ้นร่างกายก็จะใช้ไขมันมากขึ้น สังเกตุได้จากอาการหายใจอย่างแรง (หอบ) เพราะร่างกายต้องการออกซิเจนมากขึ้นในการเผาผลาญไขมัน

จริง ๆ แล้วร่างกายจะใช้พลังงานจากโปรตีนด้วยนะครับ แต่มันน้อยมาก ๆ กล่าวคือ ไม่เกิน 5%

ดังนั้นแล้วหากสังเกตุกันดี ๆ ร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานจากไขมันได้เพียงลำพัง จะต้องใช้ควบคู่กับไกลโครเจนเสมอ

ย้อนกลับไปที่คำถาม คือ หากไกลโครเจน หมดลงอะไรจะเกิดขึ้น ?

หากไกลโครเจนหมดลง ร่างกายจำเป็นต้องหาพลังงานทดแทนซึ่งก็ คือ โปรตีนส่วนเกินจากการรับทาน และ ไขมัน (ไตรเกอซิไรค์ ซึ่งมีปริมาณไม่มากเท่าไหร่นัก) โดยเปลี่ยนทั้งสองอย่างให้เป็นกลูโคส

หากเราไม่มีโปรตีนส่วนเกิน ร่างกายก็จะเริ่มละลาย โปรตีนจากกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานทดแทนไกลโครเจนที่ขาดหายไป

ดังนั้นแล้วคนที่ลดน้ำหนักอยู่ ซึ่งปกติแล้วมักจะควบคุมอาหาร จึงไม่ควรออกกำลังกายนานเกินไปเพราะจะทำให้ร่างกายละลายกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานเสริมได้ และไม่ควรที่จะลดปริมาณ Carb มากจนเกินไปเพราะจะทำให้ไกลโครเจนหมดลงอย่างรวดเร็ว

ในคนปกติทั่ว ๆ ไป (ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย) นั้น ไกลโครเจนจะหมดไปจากระบบภายใน 2 วัน ( หมายถึงกรณีของ Low Carb ที่ทาน Carb น้อยมาก ๆ นะครับ) ซึ่งกรณีนี้ร่างกายจะเปลี่ยนโปรตีนส่วนเกิน และไขมัน (ไตรเกอร์ซีไรค์) ให้เป็นกลูโคส แต่พลังงานดังกล่าวก็สู้พลังงานจาก Carb ไม่ได้ เพราะกระบวณการในการเปลี่ยนโปรตีน และ ไตรเกอร์ซีไรค์ ให้เป็นไกลโครเจนต้องใช้เวลาพอสมควร ในขณะที่พลังงานจาก Carb ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างทันที

อย่างไรก็ตามสำหรับคนทั่ว ๆ ไปที้ทาน Carb อย่างเพียงพอจะมี ไกลโครเจนเพียงพอต่อกิจกรรมต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ครับ

1. กิจกรรมประเภท ที่ใช้พลังงานแบบ Aerobic (Cardio) ที่มีความเข้มข้นระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง

ไกลโครเจนจะเพียงพอต่อกิจกรรมประเภทนี้ 90-180 นาที แล้วแต่ระดับความเข้มข้นนะครับ

2. กิจกรรมประเภท ที่ใช้พลังงานแบบ Anaerobic เช่นการยกเวท

ไกลโครเจนจะเพียงพอต่อกิจกรรมประเภทนี้ 30-45 นาที

3. กิจกรรมประเภท Interval ที่ใช้พลังงานแบบ Aerobic บนกับ Anaerobic

ไกลโครเจนจะเพียงพอต่อกิจกรรมประเภทนี้ 45-90 นาที

ทั้งหมดที่กล่าวมาขั้นต้น คือ สำหรับ “คนปกติ” ที่ทานอาหารอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนะครับ ซึ่งหมายความว่าร่างกายได้เติมเต็มไกลโครเจนไว้อย่างเต็มเปี่ยมแล้วเช่นกันครับ

สำหรับคนที่ "กำลังลดความอ้วน" ซึ่งโดยปกติแล้วมีการควบคุมอาหาร โดยเฉพาะควบคุม Carb

ดังนั้นแล้ว การที่คุณควบคุม Carb ก็หมายความว่า คุณได้ลดปริมาณ ไกลโครเจน ลงไปนั้นเอง ทฤษฎีดังกล่าวขั้นต้นจึงไม่สามารถใช้ได้กับคนที่ลดความอ้วนครับ ครับ พูดง่าย ๆ คุณต้องใช้ไกลโครเจนหมดก่อนคนทั่ว ๆ ไปนั้นเอง

ดังนั้นเวลาคุณไปออกกำลังกายตามที่ต่าง ๆ เห็นคนอื่น ๆ เขาออกกำลังกายกันนาน ๆ ก็อย่าพยายามทำตามเขาเลยครับ คนเหล่านั้นอาจไม่ได้ควบคุมอาหารแบบที่คุณทำอยู่ก็ได้

สำหรับสาเหตุที่ว่า ทำไม่ต้องเป็น 1 ชม และทำไมเราควรจะพักอย่างน้อย 1 วัน/สัปดาห์ อาจกล่าวได้ดังนี้

1. แม้ว่าคุณจะมีพลังงานเพียงพอต่อการทำกิจกรรม แต่ปฏิกริยาทางเคมีในร่างกายของคุณก็จะเปลี่ยนไป ทำให้ร่างกายของคุณเกิดความเครียดได้ ในการนี้แล้วร่างกายก็จะหลังฮอโมนเครียดออกมา ซึ่งเรียกว่า cortisol ซึ่งส่งผลให้มีผลเสียตามมามากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ กล้ามเนื้อ Breakdown

การพักอย่างน้อย 1 วัน ก็เป็นการปรับลดฮอโมนดังกล่าวให้ลดต่ำลงมาอยู่ในระดับที่สมดุลย์

2.นอกจากนี้แล้วร่างกายยังเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายนาน ๆ อีกด้วย

การพักอย่างน้อย 1 วันเป็นการพักร่างกายให้ฟื้นตัว เพื่อให้พร้อมที่จะทำกิจกรรมต่อไปอย่างสม่ำเสมอ

3.ปัญหาอีกประการหนึ่งก็ คือ หากคุณออกกำลังกายนาน ๆ หรือ โดยไม่มีวันพัก ร่างกายของคุณก็จะคุ้นเคยกับการออกกำลังกายดังกล่าว เร็วกว่าที่ควรจะเป็นครับ การเผาผลาญในกิจกรรมนั้น ๆ ก็จะน้อยกว่าที่ควรจะเป็นครับ

4. นอกจากนี้แล้ว ผมยังไปอ่านเจออีกครับว่า แม้แต่คนปกติที่ทานอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หากออกกำลังกายแบบที่ใช้พลังงานแบบ Aerobic เกินกว่า 1 ชม. ร่างกายก็จะละลายโปรตีนจากกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานเสริมถึง 15% ดังนั้นแล้วหากคุณควบคุมอาหารอยู่ ผลที่ตามมาก็คือร่างกายของคุณก็จะละลายกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานเสริมมากกว่า 15% แน่นอนอยู่แล้วครับ

อ้างอิง

Venuto, T., 2003, Burn the Fat Feed the Muscle, e-book.

http://stress.about.com/od/stresshealth/a/cortisol.htm

Bean, A., 2000, The Complete Guide To Sport Nutrition: How to eat for maximum performance, A&C Black, London

Weight Training กับการลดความอ้วน

บทความนี้ถูกเรียบเรียงขึ้น โดยมีวัถถุประสงค์เพื่อชี้ให้เห็นความสำคัญของการออกกำลังกายแบบ Weight Training กับการลดความอ้วนนะครับ กล่าวคือ ผมต้องการจะชี้ให้เห็นว่าทำไม การออกกำลังกายแบบที่ใช้พลังงานแบบ Aerobic (Cardio) และ การความคุมอาหาร เพียงสองดังกล่าวขั้นต้น จึงไม่น่าจะเพียงพอต่อการลดความอ้วนของคุณ และทำไมคุณควรจะหันมาใส่ใจกับการออกกำลังกายแบบ Weight Training โดยการเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกายประเภทนี้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของตารางกิจกรรมของคุณด้วย

ข้อย้ำอีกครั้งนะครับว่า วัตถุประสงค์ของบทความนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะมาสอนท่าทางบริหารกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย เพราะจริง ๆ แล้วศาสตร์ของ Weight Training นั้นลึกพอสมควรครับ เอาง่าย ๆ นะครับแค่กิจกรรมการบริหารกล้ามเนื้อ Biceps อย่างเดียวก็มีมากกว่า 150 ท่าแล้วนะครับ นอกจากนี้แล้ว วิธีการการหรือสูตรต่าง ๆ ในการออกบริหารกล้ามเนื้อต่างก็มีอยู่หลาย ๆ รูปแบบ ตัวอย่างเช่น บางคนก็บอกว่าของตนดีกว่า ขณะที่อีกคนอาจจะพูดในประเด็นเดียวกันที่แตกต่างกันออกไป ผมแนะนำให้คุณศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเอาเองด้วยนะครับ

ข้อมูลต่าง ๆ ที่ผมนำมาถ่ายถอดส่วนใหญ่เกิดจากการสะสมที่ผมอ่านมาจากหลาย ๆ แหล่ง ซึ่งบางครั้งก็ยากที่จะสืบเสาะไปถึงต้นตอว่าได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวมาจากไหน ข้อมูลอีกส่วนหนึ่งก็เปิดจากตำราหรือคู่มือต่าง ๆ ที่พอจะหาได้ในขณะเขียนบทความนี้ และข้อมูลส่วนสุดท้ายก็นำมาจากประสบการณ์ตรงในการลดความอ้วนของผมเช่นกัน

ผมมักจะกล่าวไว้อยู่เสมอนะครับที่ทุกครั้งผมจะเขียนอะไรที่มันดูเป็นวิชาการว่าผมมักจะไม่รับประกันความถูกต้อง 100 % เพราะผมเองไม่ได้เรียนมาทางนี้โดยตรง แต่ยังไงก็รับประกันว่าถูกต้องมากกว่า 80% แน่นอนครับ

ถึงแม้ว่าพาหนะ (บทความ) คันนี้ อาจจะพาคุณตกไหล่ทางไปบ้าง แต่รับประกันครับว่ามันสามารถพาคุณไปสู่จุดหมายได้อย่างแน่นอน เริ่มเลยนะครับ

เหตุผลที่คุณควรออกกำลังแบบWeight Training ในขณะลดความอ้วน

ผมขอแบ่งเหตุผลออกเป็น 3 สาเหตุใหญ่ ๆ ที่สำคัญนะครับ (จริง ๆ แล้วอาจมีมากกว่านี้) ซึ่งอาจจะพอสรุปได้ดังนี้

1.เหตุผลประการแรกก็คือ เราต้องยอมรับกันก่อนนะครับว่าสิ่งที่คนลดความอ้วนอยู่ทุกคนปฎิบัติกันแทบทุกคน คือ การควบคุมอาหาร ผลที่อาจจะตามมาก็คือโอกาสที่ร่างกายของคุณจะเปลี่ยนกล้ามเนื้อให้เป็นพลังงานเสริมหากคุณทานน้อยเกินไป หรือ ออกกำลังกายหนักเกินไปก็มีสูงอยู่มากเช่นกัน ดังนั้นแล้วการออกกำลังกายแบบ Weight Training จึงสามารถช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อของคุณไม่ให้หายไปได้ หรือสูญเสียไปน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สิ่งที่คุณควรจะรับทราบต่อไปก็คือ หากกล้ามเนื้อหายไปก็เท่ากับการเผาผลาญพลังงานของคุณลดต่ำลง ทั้งนี้เพราะว่าโดยปกติแล้วร่างกายจะใช้กล้ามเนื้อในการเผาผลาญพลังงาน ดังนั้นหากคุณสูญเสียกล้ามเนื้อไประหว่างการลดความอ้วน ผลที่ตามมาก็คือผลร้ายต่อการลดน้ำหนักของคุณในระยะยาว อีกสิ่งที่คุณควรจะรู้ก็คือการเปลี่ยนแปลงของมวลกล้ามเนื้อเพียง 0.5 กก. ที่มีผลทำให้การเผาผลาญของคุณเปลี่ยนแปลงไป 30-50 Kcal/วัน แม้ว่าคุณจะไม่ขยับร่างกายเลย

2. เหตุผลประการที่สอง การออกกำลังกายแบบ Weight Training ทำให้ ระบบ การเผาผลาญของคุณเพิ่มสูงขึ้นหลังจากการออกกำลังกาย พูดง่าย ๆ ก็คือ การเผาผลาญไขมันหลังจากการออกกำลังกาย (After Burn) ของกิจกรรมประเภท Weight Training จะยาวนานมากกว่าการออกกำลังกายแบบที่ใช้พลังงานแบบ Aerobic โดยทั่วไป เช่น การออกไปวิ่ง หรือ ปั่นจักรยาน นั่นเอง

ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าร่างกายของเราต้องการออกซิเจนอย่างมากหลังจากการออกกำลังกายประเภท Weight Training ซึ่งฝรั่งเรียกว่า Excess Post-exercise Oxygen Consumption (EPOC) เมื่อร่างกายดูดซึมออกซิเจนมากขึ้น การเผาผลาญไขมันหลังออกกำลังกายก็มากตามไปด้วยเพราะร่างกายจำเป็นต้องใช้ออกซิเจนเพื่อการเผาผลาญไขมัน นอกจากนี้แล้ว การออกกำลังแบบ Weight Training ยังมีผลทำให้ร่างกายผลิต Growth Hormone มากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวสามารถทำให้ร่างกายนำไขมันมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้นหลังจากการออกกำลังกายเช่นกัน

สรุปก็คือ ถึงแม้ว่าการออกกำลังกายแบบ Weight Training จะไม่ค่อยได้ช่วยให้คุณเผาผลาญพลังงานขณะการออกกำลังกายมากนัก แต่ผลที่ได้หลังจากกการออกกำลังกายนั้น เมื่อหักลบกลบหนี้กันก็ไม่ด้อยไปกว่าการออกกำลังกายแบบ Aerobic เท่าไหร่นัก (ดังนั้นแล้วก็อย่าเชื่อตารางการเผาผลาญพลังงานของการออกกำลังกายประเภทต่าง ๆ ให้มากนัก เพราะส่วนใหญ่แล้วมักจะวัดกันขณะออกกำลังกาย โดยมองช้ามผลที่ได้หลังการออกกำลังกาย)

3. เหตุผลข้อสุดท้ายนั้น อาจกล่าวได้ว่ากล้ามเนื้อเป็นขุมพลังที่จะช่วยให้คุณประสบผลสำเร็จในการลดความอ้วนระยะยาว ดังที่ผมกล่าวไปแล้วขั้นต้นว่าร่างกายของเรานั้นต้องใช้กล้ามเนื้อในการเผาผลาญพลังงาน การที่คุณมีกล้ามเนื้อมากขึ้นเท่าไหร่โอกาสที่คุณจะกลับไปอ้วนอีกครั้งก็น้อยลงครับ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่คุณควรจะสะสมกล้ามเนื้อไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ขณะที่ลดความอ้วนอยู่ครับ
การที่ร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่นั้นต้องใช้ระยะเวลาพอสมควรครับ คุณอาจจะละลายไขมันได้เดือนละ 2-3 กก. แบบง่าย ๆ แต่คนปกติทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้กินอาหารเสริมนั้นสามารถสร้างกล้ามเนื้อได้เฉลี่ยเดือนละ 0.5 กก.เท่านั้นเองนะครับ (ผู้หญิงอาจจะน้อยกว่านี้) ทั้งนี้ทั้งนั้นในเงื่อนไขที่ต้องออกกำลังกายแบบ Weight Training อย่างจริงจังด้วยนะครับ

วงการเพาะกายเองก็มีปัญหาเรื่องการเพิ่มกล้ามเนื้อเช่นกันนะครับ คุณเหนื่อยแค่ไหนกับการลดไขมัน พวกนักเพาะกายก็เหนื่อยไม่แพ้คุณหรอกครับในการทำให้กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น (ผมเองปัจจุปันนี้เน้นสร้างกล้ามเนื้อนะครับ พยายามทำทุก ๆ ทางให้มีกล้ามเนื้อใหม่ แต่ก็ดูเหมือนว่ายากเหลือเกินครับ)

ดังนั้นคุณจึงไม่ควรปล่อยให้น้ำหนักตัวของคุณลดลงไปถึงจุดที่พอใจก่อนแล้วค่อยหันไปทำกิจกรรม Weight Training ทั้งนี้ก็เพราะว่าคุณจะมั่นใจได้อย่างไรครับว่าคุณจะสามารถสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ ?

ความคิดที่จะออกกำลังกายแบบ Aerobic เพื่อให้น้ำหนักลดลงถึงจุดหมายก่อน แล้วค่อยหันไปทำกิจกรรมแบบ Weight Training จึงฟังดูไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่นัก (ตามความคิดของผม) ถึงแม้ว่าวิธีการดังกล่าวจะทำให้ผอมได้จริง แต่ผลที่ได้คือร่างกายแบบ Skiny Fat ครับ กล่าวคือ คุณหุ่นดีจริงครับแต่เนื้อตัวจะเหลว ๆ เพราะกล้ามเนื้อหายไปมากเพราะการออกกำลังกายและควบคุมอาหาร (เกิดขึ้นแทบทุกรายนะครับที่ไม่ได้ออกกำลังกายแบบ Weight Training) หากคุณมีร่างกายแบบ Skiny Fat ก็หมายความว่าระบบเผาผลาญนั้นลดต่ำลงเพราะไม่มีกล้ามเนื้อ โอกาสที่จะกลับมาอ้วนอีกก็มีสูงขึ้นเช่นกัน อาหารการกินก็ต้องควบคุมให้น้อยอย่างนั้นตลอดไป กินมากก็ไม่ได้ไม่อย่างงั้นก็กลับไปอ้วนใหม่ ในขณะที่คนที่ออกกำลังกายแบบ Weight Training ตั้งแต่เริ่มต้นจะพบว่าตนเองทานได้มากขึ้นเรื่อย ๆ (ประเด็นนี้ผมกล้ายืนยันนะครับ เพราะปัจจุปันนี้ผมเองก็ทานได้มากขึ้นนะครับ และน้ำหนักก็ไม่ขึ้นด้วยครับ)

หลาย ๆ คนอาจจะแย้งว่าการออกกำลังกายแบบ Aerobic ต่อไปก็สามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้เช่นกัน และไม่จำเป็นจะต้องหักโหมเหมือนช่วงลดความอ้วน ประเด็นนี้ผมยอมรับว่าจริงอยู่ครับที่คุณสามารถทำเช่นนั้นได้ แต่คำถามคือ คุณสามารถออกกำลังกายแบบ Aerobic ได้ตลอดชีวิตหรือเปล่า ? ลองจิตนาการดูนะครับว่าถ้าหากคุณอายุสัก 50 ปี คุณยังจะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกล ๆ หรือเปล่า ? แต่ขณะการมีกล้ามเนื้อนั้นอยู่ติดตัวกับคุณตลอดชีวิต

เหตุผลที่คนส่วนใหญ่กลัวการออกกำลังกายแบบWeight Training

เมื่ออ่านมาถึงตรงนึ้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านนั้นเริ่มสนใจที่จะทำ Weight Training กันบ้างแล้ว แต่ก็ยังกลัว ๆ กล้า ๆ สาเหตุอันดับ 1 ก็เพราะว่าหลาย ๆ ท่าน กลัวว่าจะมีกล้ามใหญ่โตคล้าย ๆ กับนักเพาะกาย จึงไม่กล้าที่จะออกกำลังกายประเภทนี้ โดยเฉพาะสาว ๆ ทั้งหลายกลัวกันมาก ๆ กับประเด็นนี้

ตรงนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าโอกาสที่คุณจะมีกล้ามใหญ่โตเหมือนนักเพาะกายนั้นมีน้อยมาก ๆ ครับ หรือเรียกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยก็ว่าได้

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่าการที่ร่างกายจะสร้างกล้ามเนื้อใหม่ขึ้นมาได้นั้นคุณจะต้องทานอาหารประเภทโปรตีนมากกกว่าความต้องการของร่างกายเพื่อให้เกิดสภาวะ Positive Nitrogen Balance ขึ้น ร่างกายจึงจะสามารถสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ดี แต่ในความเป็นจริงแล้วคนที่ลดความอ้วน ซึ่งปกติแล้วก็มีการควบคุมอาหารกันและอาหารประเภทโปรตีนก็ไม่ได้ทานกันมากมายเท่าไหร่นัก เท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็กินกันแต่ผัก ผลไม้กันทั้งนั้น ดังนั้นแล้วจะให้กล้ามเนื้อนั้นเติบโตหรือพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้นคงเป็นไปได้ยากครับ หากคุณไปเห็นเมนูที่นักเพาะกายกินกันแล้วจะตกใจครับว่าเขาเหล่านั้นทานโปรตีนและอาหารเสริมต่าง ๆ เยอะขนาดไหน (ขนาดกินกันเยอะ ๆ ก็ยังบ่นกันเลยครับว่ากล้ามไม่ค่อยขึ้น) การกินไข่หลาย ๆ สิบฟองต่อวัน ทานเนื้อครั้งละครึ่งกิโลกรัม ถือว่าเป็นเรื่องปกติของนักเพาะกายนะครับ คำถามก็คือว่า คนที่ลดความอ้วนอยู่ทานแบบนั้นหรือไม่?

สำหรับสาว ๆ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีกล้ามใหญ่โตเป็นมัด ๆ นะครับ เพราะพวกคุณมีฮอร์โมนTestosterone ที่ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ น้อยกว่าเพศชายถึง 10 เท่า ดังนั้นเล่นยังไงกล้ามก็ไม่ใหญ่หรอกครับ แต่ในทางตรงกันข้ามร่างกายของคุณจะดูเฟริ์มขึ้นนะครับ สำหรับนักเพาะกายหญิงที่คุณเห็นตามสื่อต่าง ๆ นั้น ผมบอกได้ว่าพวกหล่อนใช้ Steroid ช่วยกันทุกคนครับ

เหตุผลที่สอง คนส่วนใหญ่มักจะได้ยินหรือได้ผ่านตา มาว่าการออกกำลังกายแบบ Weight Training ทำให้น้ำหนักเพิ่ม จึงกลัวกันว่าจะทำให้ตัวใหญ่ สำหรับประเด็นนี้ผมขอบอกว่าการที่คุณจะมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาอีกสัก 2-3 กก. (ซึ่งก็ไม่ง่ายนะครับหากคุณลดความอ้วนอยู่) ก็ไม่ได้ทำให้ร่างกายของคุณดูใหญ่โตมากขึ้นเหมือนกับการที่มีไขมันเพิ่มขึ้น 2-3 กก. หรอกครับ เพราะจริง ๆ แล้วกล้ามเนื้อนั้นหนักกว่าไขมันถึง 7 เท่า กรณีนี้ผมอยากให้คุณดูนักเพาะกายหลาย ๆ ท่านที่มีน้ำหนักพอ ๆ กับคนอ้วนบางบางรายนะครับ คำถามก็คือว่า...ทำไมนักเพาะกายเหล่านั้นจึงดูผอมกว่าครับและดูดีกว่าคนอ้วนครับ ? ก็เพราะกล้ามเนื้อหนักกว่าไขมันนั้นเอง ดังนั้น สำคัญที่สุดสำหรับคุณก็ คือ อย่าเชื่อตราชั่งให้มากนัก ดูกระจก วัดสัดส่วน และฟังความเห็นของคนรอบข้างของคุณประกอบไปด้วย น่าจะดีกว่าครับ

เหตุผลประการสุดท้ายก็ คือ เมื่อคุณเริ่มออกกำลังกายในช่วงแรก ผลที่ตามมาก็คือ กล้ามเนื้อเก่าที่ฝ่อตัวอยู่ได้รับการกระตุ้นนะครับ ผลที่ตามมาก็คือกล้ามเนื้อเก่า ๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้งานก็จะเกิดการขยายตัวขึ้น ดังนั้นก็จะเกิดอาการวิตกจริตไม่กล้าที่จะออกกำลังกายแบบ Weight Training ต่อไปกันเพราะกลัวว่ากล้ามมันจะใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ แบบฉุดไม่อยู่ สำหรับประเด็นนี้ผมยอมรับอยู่ครับว่ากล้ามเนื้อมันอาจจะขยายตัวได้ในช่วงแรก แต่ก็ไม่มากไปกว่าเดิมมากนักหรอกครับ กล้ามเนื้อของคุณมีแค่ไหนมันก็ขยายตัวได้ไม่เกินกว่าความสามารถของกล้ามเนื้อที่คุณมีอยู่หรอกครับ หากคุณเป็น Arnold Schwarzenegger ก็ว่าไปอีกอย่างครับ (ปัจจุปันเขาตัวเล็กลงเมื่อเทียบกับสมัยเป็นหนุ่ม ๆ นะครับ แต่หากเขาเริ่มออกกำลังกายใหม่อีกครั้ง ภายในระยะเวลาไม่นานนักเขาก็จะกลับมาตัวล่ำเหมือนเดิมเพราะกล้ามเนื้อเก่ามีเยอะนั่นเองครับ)

Weight Training ตามความหมายของผม

หากจะให้ผมนิยามความหมายของ Weight Training แบบง่าย ๆ อาจจะกล่าวได้ว่า Weight Training คือ การออกกำลังกายเพื่อต้านกับแรงต้านภายนอก ซึ่งแรงต้านภายนอกอาจจะเป็นอะไรก็ได้ เช่น น้ำหนักจาก Dumbbell, Barbell, หรือแม้กระทั่งใช้ หนักตัวของคุณเอง เช่น การวิดพื้น การเล่นโยคะ การเล่นพิลาทิส เป็นต้น ในการนี้แรงต้านภายนอกจะต้องเยอะพอสมควรที่สามารถทำให้กล้ามเนื้อของคุณเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เยอะจนทำให้คุณบาดเจ็บ

มาถึงตรงนี้ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านคงจะตัดสินใจที่จะผนวกการออกำลังกายแบบ Weight Training เข้าไปเป็นตารางการออกกำลังกายของตนเองแล้วนะครับ แต่อีกประเด็นที่ผมควรจะกล่าวก็ คือ หากคุณคิดที่จะออกกำลังกายแบบ Weight Training ควรทำแบบจริงจังนะครับ การที่คุณหยิบ Dumbbell คู่เล็ก ๆ ขึ้นมา 1 คู่ แล้วออกแรงยกมันโดยที่ไม่รู้สึกปวดเมื่อยอะไรเลย อาจจะช่วยคุณในแง่ของการกระชับกล้ามเนื้อเก่า ๆ ที่คุณมีอยู่ แต่ก็ไม่ได้ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อใหม่ให้กับคุณ ทั้งนี้เนื่องจากแรงต้านจาก Dumbbell คู่ดังกล่าวนั้นน้อยเกินไปและร่างกายของคุณได้คุ้นเคยน้ำหนักดังกล่าวได้เสียแล้ว และแน่นอนว่าประโยชน์ที่ได้ก็อาจจะไม่มากนัก

หากคุณคิดจะใช้การออกกำลังกายแบบ Weight Training เป็นเครื่องมือในการช่วยคุณลดความอ้วน ก็อย่ากลัวที่จะเมื่อย และอย่ากลัวที่จะใช้น้ำหนักที่หนัก ๆ ครับ หากคุณเล่น โยคะ หรือ พิลาทิส ก็อย่ากลัวที่จะเล่นท่ายาก ๆ ครับ ในการนี้ผมแนะนำว่าทำมันแบบจริงจังดีกว่าครับไม่อย่างงั้นแล้ว Weight Training ก็อาจจะช่วยคุณไม่ได้

การผสมผสาน Weight Training กับกิจกรรม Aerobic

ที่พูดมาทั้งหมดผมไม่ได้หมายความว่ากิจกรรมประเภท Weight Training นั้นจะดีกว่ากิจกรรมประเภท Aerobic นะครับ หากเทียบกันตัวต่อตัว (ทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเพียงอย่างเดียว) อาจจะกล่าวได้ว่ากิจกรรม Aerobic นั้นทำให้น้ำหนักตัวลดลงเร็วกว่ากิจกรรม Weight Training เพียงอย่างเดียว แต่จะให้ดีที่สุดต้องทำทั้ง 2 อย่างผสมกันครับ พูดง่าย ๆ ตามหลักการที่ถูกต้องแล้ว คุณควรออกกำลังกายทั้ง 2 ประเภทควบคู่กันไปในอัตราส่วน 50 : 50 นะครับ โดยควรที่จะทำสลับวันกัน

แต่ผมมักจะแนะนำเสมอนะครับว่าหากคุณเป็นมือใหม่กับการออกกำลังกาย ช่วงแรกควรทำเน้นกิจกรรมแบบ Aerobic มากหน่อย และผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิมนะครับ (แม้ว่าจะขัดกับทฤษฎี) เหตุผลหลัก ๆก็เพราะว่า เมื่อคุณเริ่มออกกำลังกายแบบ Weight Training ใหม่ ๆ นั้นคุณอาจจะไม่เห็นความแตกต่างมากนักเพราะร่างกายยังไม่คุ้นเคยกับการออกกำลังประเภทนี้ การตอบสนองของร่างกายคุณในการสร้างกล้ามเนื้อใหม่ในช่วงแรกก็อาจจะยังไม่ดีเท่าที่ควร กล่าวคือในช่วงแรกที่คุณเริ่มออกกำลังกายใหม่ ๆ ร่างกายของคุณยังไม่สามารถหมุนเวียนโปรตีนนำมาใช้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้อย่างมีประสิทธิภาพนะครับ (ปกติจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์กว่าทุกอย่างจะเข้าที่) ดังนั้นการที่คุณไม่หักโหมกิจกรรม Weight Training มากจนเกินไปจึงเป็นการเปิดโอกาสให้กล้ามเนื้อของคุณได้พักผ่อนนานขึ้นอีกนิด นอกจากนี้การหักโหมในการออกกำลังกายแบบ Weight Training ในช่วงแรกยังเสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บ หรือ ปวดเมื่อย ระบม ไปทั้งร่างกาย จนต้องงดการออกกำลังกายทุกประเภทไป ซึ่งนั้นย่อมกระทบต่อการแผนการลดน้ำหนักของคุณตามไปด้วย

ดังนั้นการที่คุณทุ่มเวลาให้กับกิจกรรม Aerobic มากหน่อยในช่วงแรก ก็จะส่งผลให้คุณเห็นน้ำหนักตัวของคุณลงบ้างนะครับ อย่างน้อยก็ทำให้คุณมีกำลังใจขึ้นมาบ้างว่าคุณมาถูกทางแล้ว และจะได้ไม่หันไปหาการลดความอ้วนแบบผิด ๆ อย่างไรก็ตามต่อไปในอนาคตหน้ายังไงคุณก็ต้องปรับลดการออกกำลังกายแบบ Aerobic ให้น้อยลง และเพิ่ม Weight Training ให้มากขึ้น เพราะในระยะยาวแล้ว Weight Training คือผู้ชนะตัวจริงครับ

หลักฐานที่พิสุจน์ความสำคัญของ Weight Training กับการลดความอ้วน

ที่ผมพูดมาดังกล่าวขั้นต้น หลาย ๆ คนก็อาจจะยังไม่เชื่อ ดังนั้นจึงต้องงัดหลักฐานมาพิสุจน์กันให้เห็นกันจะ ๆ ตามแบบฉบับของผม

ตรงนี้ต้องย้อนกลับไปที่การทดลองของ Wayne Westcott ซึ่งเป็น Director ของศุนย์การวิจัยด้าน Fitness ที่ YMCA รัฐ Massachusetts ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการทดลองดังกล่าวได้นำคนอ้วน 72 คนมาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 : ให้ออกกำลังกายแบบที่ใช้พลังงาน Aerobic เพียงอย่างเดียว เป็นเวลา 30 นาที และ 3 วันต่อสัปดาห์

กลุ่มที่ 2 : ให้ออกกำลังกายทั้งแบบที่ใช้พลังงาน Aerobic ผสมผสานกับ การออกกำลังกายแบบ Weight Training โดยใช้เวลาและความถึ่ที่เท่า ๆ กันกับกลุ่มที่ 1

ผลการทดลองในระยะเวลา 8 สัปดาห์ สรุปว่า กลุ่มที่ ออกกำลังกายแบบที่ใช้พลังงาน Aerobic เพียงอย่างเดียว สามารถเผาผลาญไขมันไปได้ 1.4 ก.ก. และสูญเสียกล้ามเนื้อไป 0.2 กก. ในขณะที่กลุ่มที่ออกกำลังกายทั้งแบบที่ใช้พลังงาน Aerobic ผสมผสานกับ การออกกำลังกายแบบ Weight Training สามารถลดไขมันได้ถึง 4.5 กก. และ สามารถสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ได้ถึง 0.9 กก.

สุดท้ายนี้ผมหวังว่าบทความนี้คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังลดความอ้วน หรือ วางแผนจะลดความอ้วนนะครับ

อ้างอิง:

Bean, A., 2000, The Complete Guide to Sports Nutrition: How to eat for maximum performance, A&C Black, London

Venuto,T., 2003, Burn the Fat Feed the Muscle, Fitness Renaissance, e-book.

Tarnopolski MA, Atkinson Sa, Macdougall JD, Chesley A, Phillips S, Schwarcz HP, Evaluation of protein requirements for trained strength athletes, Journal of Applied Physiology, Vol. 73, pp.1986-95