วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีเลือกซื้อรถมือสอง


การซื้อรถบ้านใช้แล้ว หรือรถมือสอง ถ้าเรามีความละเอียดรอบคอบเพียงพอในการเลือกซื้อ ไตร่ตรองถี่ถ้วนก่อนการตัดสินใจซื้อ ก็จะทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้นว่าซื้อแล้วได้ใช้งานคุ้มค่า ผมเองก็เป็นอีกคนที่เลือกใช้รถมือสอง อาจเป็นเพราะสตางค์ในกระเป๋ามีจำกัด อีกทั้งไม่อยากเป็นภาระมานั่งผ่อน ทุกเดือน รถที่ผมใช้ก็ ถือได้ว่าตอบสนองเราได้เป็นอย่างดีเพียงแต่เราดูแลบำรุงรักษารถให้ดี ก็ใช้ไปได้อีกนาน ขนาดที่คิดได้ว่าจะไม่ยอมขายจะใช้ให้พังคามือเลย เป็นธรรมดา สำหรับรถดี ๆ ไม่จุกจิกกวนใจ กวนเงินในกระเป๋าเรา ทีนี้เรามาดูว่ารถมือสอง ที่เราจะซื้อมีวิธีการเลือก คร่าว ๆ อย่างไร

1. ดูตัวถัง body
รถสวยไม่สวยดูภายนอกรอบคัน ก็พอบอกได้ แต่จะดูให้ถึงว่าเคยชนมาหนัก ๆ มั๊ย ก็ต้อง
- เปิดฝากระโปรงหน้ามาดูคานหน้า คานรถทุกคันจะมีรู กลมบ้าง เหลี่ยมบางแล้วแต่ ถ้ารูเบี้ยว ไม่คมก็แสดงว่ามีโดนมา
- ป้ายทะเบียนรถยับมีรอยดัด ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเคยโดนมา แผ่น plate ที่แปะติดคานมา มีรอยยับหรือดัดมาก็เช่นกัน
- สันด้านข้างตะเข็บความนูนเสมอกันหรือไม่ รอยอ๊าค จากโรงงานกับอู่เคาะพ่นสีก็ต่างกัน
- สำหรับด้านหลัง ก็เปิดฝากระโปรงดูเช่นกัน ไฟท้ายทั้ง 2 ดวงเสมอเบ้าหรือไม่ รอยแยกต่อชิ้นเว้นช่องไฟเท่ากันเปล่ามีเบี้ยวมีเกยกันมั๊ย คานหลังก็ใช้ลักษณะการสังเกตุเหมือนคานหน้าเพียงแต่ต้องลื้อพรมปูท้ายรถออกเพื่อให้เห็นพื้น
- พื้นรถด้านหลังโดยมากจะเป็นรอน ๆ ก็สังเกตุดูว่าเท่ากันหรือเปล่า รถบางคันโดนชนหลังมาช่างเคาะทำดีมากดูแทบไม่ออก มาเสียอีตอนน้ำเข้าตรงไฟท้ายเข้าได้แต่ออกไม่ได้ซะด้วยสิ ต้องเช็ด มีบางคันเศษกระจกหลังยังอยู่ให้เห็นเลยครับ
- ส่วนด้านข้าง ก็ดูเทียบสี จากโรงงานสีเดิม กับอู่สี สีจะเพี้ยนนิดหน่อยแต่ก็พอเห็น ผมใช้วิธีเคาะ ด้วยมะเหง็กของเรานี่แหละ เคาะรอบคันเลยรถ ที่ทำสีมาแล้วเสียงจะทึบ ๆ หน่อย ชิ้นที่สีเดิมจะมีเสียงโปร่ง ๆ หน่อยฟังดีดี จะรู้ถึงความต่าง อันนี้ไม่ยาก
- รถที่เคยหงายตะแคงล้อชี้ฟ้า ก็ดูหลังคารถเคาะ ๆ ดู สังเกตุขอบคิ้วกระจกหน้าหลัง เหมือนกันเปล่ามีรอยแตกของสีโป๊วมั๊ย หลังคาสีสดสวยกว่าประตูข้างมั๊ย

2. เครื่อง + ช่วงล่าง + เกียร์
- เครื่อง ถ้าเครื่องมีปัญหา หรือ หลวม จะเป็นอย่างนี้ เสียงดัง ไม่นิ่งรอบสูงบ้างต่ำบ้าง เวลาเครื่องร้อนเรา ก็ดูก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมา จะมีควันพุ่งออกมา หรือ น้ำมันเครื่องจะกระเซ็นกระสายเป็นละอองออกมาเอามือไปอัง ๆ ดูก็ได้
- เกียร์ ชุดส่งกำลัง คลัชต์ ถ้าเข้าเกียร์ ออกตัวแล้วสั่น แหงก ๆ กระตุก ๆ เข้าเกียร์ก็ยาก นั่นแหละมีปัญหา วิ่งๆ ไปมีเสียงประสาน หอนแหวกอากาศมาเข้าหูเรา เวลาเข้าเกียร์ว่าง รถจอดนิ่งๆ ไม่ดังก็นั่นแหละ เกียร์ไปแล้ว เกียร์ auto ก่อนเข้าเกียร์เหยียบเบรคคาไว้ เข้าเกียร์ตำแหน่ง D ไม่กระตุกกระชากก็พอได้เปราะหนึ่ง เข้าตำแหน่งเดิม N แล้วไป R ก็ไม่มีอาการอะไรก็แสดงว่าผ่านไปได้แล้ว 70 % มาลองวิ่งดูว่าเกียร์ทำงานทุกเกียร์เปล่า ไม่ใช่เปลี่ยนแค่ 2 เกียร์อันนี้เสร็จแน่ ออกตัวก็เช่นกัน ออกตัวดีมั๊ย ถ้าต้องรอสักพักถึงเคลื่อนตัวได้แสดงว่ามันจะแย่อยู่นะ
- ช่วงล่าง เวลาขับไปเจอฝาท่อ เจอถนนคอนกรีตที่กร่อน มีหลุม บ่อเล็กๆ ลุยเข้าไปเลย เดี๋ยวเสียงกรุ กระ จะปรากฏถ้าไม่แน่น หรือ อาจสะท้านมาถึงพวงมาลัยเลยก็มี

3. ภายในห้องโดยสาร
- กลิ่น ถ้าเปิดรถปุ๊บ สิ่งแรกที่กระทบจมูกโด่ง ๆ ของเราคือกลิ่นอับ ๆ ชื้น ๆ แสดงว่าน้ำเข้ารถ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เอายางปูพื้นออก ดูว่าพื้นพรมมีรอยชื้นของน้ำเปล่า ดูหมดทั้ง 4 จุด
- ดูความเรียบร้อย คอนโซล แตกมั๊ย ช่องแอร์สมบูรณ์เปล่า
- แอร์ เปิดแอร์ เบอร์ 1-4 เลยมันไล่ระดับความแรงหรือเปล่า แรงลมสำคัญจะบอกได้ว่าตันหรือเปล่า เปิดทิ้งไว้แล้วออกไปเดินดูรอบ ๆ รถ 5-6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 5นาทีพอ แล้วเดินเข้าไปในรถก็จะรู้ว่าฉ่ำ หรือ ไม่ฉ่ำ มีเสียงอะไรดังผิดปรกติหรือเปล่าแอร์ตัดตามปกติมั๊ย ก็เท่านั้น


ที่มา : เว็บไซต์ 100homecar.com

วิธีการล้างรถ และเคลือบสี ด้วยตนเอง


สำหรับคนเมืองแล้วดูเหมือนว่ารถจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต หลายคนใช้เวลาหลายชั่วโมงต่อวันอยู่ในรถ เด็กบางคนแทบจะเรียกได้ว่าโตบนรถเลยทีเดียว เมื่อใช้รถเราก็ต้องรู้จักดูแลเพื่อให้สามารถใช้งานได้นานๆ ก็รถแต่ละคันราคาไม่น้อยนี่ครับ แต่คุณรู้มั๊ยว่ารถก็ไม่ต่างจากคน นอกจากการบำรุงรักษาภายในแล้ว การดูแลรักษาภายนอกก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน แค่การดูแลเครื่องยนต์อย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ หากจะพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น คงต้องขอเปรียบเทียบกับคุณผู้หญิงที่ต้องการการถนอมผิว อาบน้ำ ทาครีมบำรุง ก็เจอกับแดดร้อน มลพิษ ฝุ่น ควัน มาทั้งวัน ไม่ดูแลให้ดีก็คงแย่เหมือนกัน รถยนต์ก็เช่นกันครับ ดังนั้นหากว่าเราจะหันมาใส่ใจกับเจ้าเพื่อนมีล้อให้มากกว่าเดิมอีกนิดหน่อยก็คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ลองมาดูกันดีกว่าครับว่าควรดูแลอย่างไรให้ผิวรถสวย สะอาดใส ไร้ริ้วรอย


เริ่มจากล้างรถเรื่องง่ายๆที่ง่ายจนคาดไม่ถึง

เริ่มจาก... ล้างรถ เรื่องง่ายๆ ที่ง่ายจนคาดไม่ถึง:

เคล็ดลับง่าย ๆ ของการล้างรถให้สะอาด ไม่เกิดรอย และไม่ทำลายสีรถ

1. เริ่มจากฉีดน้ำครับ ฉีดน้ำให้แรงที่สุด เพื่อให้คราบฝุ่น ขี้ดิน และสิ่งสกปรกต่างๆ หลุดออกจากตัวรถให้มากที่สุด

2. โดยปกติแล้ว การล้างรถด้วยน้ำเปล่าอย่างเดียวก็สะอาดเพียงพอแล้ว แต่อาจต้องใช้แรงในการขัดถูมากหน่อย ถ้าอยากให้ล้างง่ายขึ้น สะอาดใสปิ๊ง ก็ให้ใช้แชมพูล้างรถร่วมด้วยครับ

3. รถก็เหมือนบ้าน เวลาทำความสะอาดต้องเริ่มจากด้านบนก่อน แล้วค่อยๆ ล้างจากส่วนบน ลงล่างนะครับ

4. แนะนำให้ใช้ผ้านุ่ม ๆ เช่น ผ้าสำลี ในการล้างรถครับ ไม่ควรใช้ฟองน้ำล้างรถ เพราะเม็ดทรายหรือฝุ่น จะติดอยู่ในรูพรุนของฟองน้ำ เมื่อถูไปกับผิวสีรถ จะทำให้เกิดรอยขีดข่วน และถ้าทำได้ควรจะนำผ้าไปแช่น้ำไว้ก่อน ยิ่งถ้าใส่น้ำยาปรับผ้านุ่มด้วยจะดีมากเลยครับ และในขณะที่ล้างรถก็ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้าบ่อยๆ ด้วยครับ

5. โดยทั่วไปส่วนบนของรถจะมีฝุ่นน้อย ในขณะที่ด้านล่างจะสกปรกและมีฝุ่นมาก จึงขอแนะนำให้แยกใช้ผ้า 3 ผืน ผืนแรกใช้สำหรับล้างส่วนบน หลังคา ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง และกระจกรถ ผืนที่สองใช้ล้างด้านล่างของตัวรถ ตั้งแต่ขอบกระจก ด้านล่างลงมา ผืนสุดท้าย ใช้สำหรับทำความสะอาดล้อ และส่วนอื่นที่สกปรกมาก ถ้ามีผ้าผืนเดียว ก็แนะนำให้ซักผ้าบ่อยๆ นะครับ เพื่อเอาเศษฝุ่น โคลน ออกจากผ้า รถจะได้สะอาดครับ

6. ฉีดน้ำไล่แชมพูออกให้หมด ใช้ผ้าแห้งนุ่มเช็ดรถให้แห้งทันที จะได้ไม่มีฝุ่นเกาะ และไม่เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถ

หมายเหตุ: ถ้าล้างเองคนเดียวที่บ้าน แนะนำให้ทำการล้างล้อก่อนนะครับ เพราะถ้าเราล้างตัวรถก่อน แล้วมาล้างล้อทีหลัง จะทำให้คราบน้ำ คราบแชมพูแห้ง และทำให้เกิดปัญหาคราบน้ำได้ครับ

การใช้น้ำฉีดเป็นวิธีที่ดีสำหรับการล้างรถ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่จำเป็นต้องล้างรถ โดยใช้ถังใส่น้ำ จงท่องจำเอาไว้ในใจว่า ต้องหมั่นซักและขยี้ผ้า และต้องเปลี่ยนน้ำในถังบ่อย ๆ มิฉะนั้น สิ่งสกปรก และเม็ดทรายที่ปนเปื้อนอยู่ในน้ำ อาจทำให้เกิดริ้วรอยขีดข่วนบนรถได้ครับ


ล้างแทบแย่แต่ถ้าเช็ดไม่ดีก็จบกัน


1. ควรใช้ผ้านุ่ม ๆ ในการเช็ดรถ เนื่องจากผ้าเหล่านี้จะไม่ทำให้รถเป็นรอย การเช็ดรถที่ถูกต้องก็เหมือนกับการล้าง คือควรเช็ดจากด้านบนไล่ลงมาด้านล่างของรถ เพื่อให้น้ำหยดลงด้านล่างให้หมด จะได้ไม่ต้องทำงานสองต่อครับ

2. ส่วนของรถที่ต้องระวัง คือ ด้านในขอบประตูทั้งหมด ด้านในกระโปรงหลัง ด้านในฝาถังน้ำมัน กระจกหน้ารถ ควรเช็ดให้แห้งที่สุด อย่ามองข้ามเป็นอันขาดนะครับ

3. ล้อแม็กซ์ ก็ควรจะเช็ดให้แห้งด้วย เพราะถ้าไม่เช็ดจะเกิดเป็นคราบน้ำขึ้น ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ คราบน้ำเหล่านั้นจะเช็ดออกยากจนถึงเช็ดไม่ออกเลยนะครับ


สิ่งเล็กน้อยมี่ไม่ควรมองข้าม

1. ไม่ควรล้างรถเองในตอนเย็น เพราะหากล้างแล้วจอดทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดสนิมในจุดที่เราเช็ดไม่แห้ง เว้นเสียแต่ว่า คุณจะมีเครื่องเป่าน้ำให้แห้ง หรือไม่ก็ต้องยอมเปลืองน้ำมันเอารถออกไปขับไกล ๆ ให้ลมช่วยทำให้ทุกซอยทุกมุมแห้งสนิท วิธีนี้คุณผู้ชายอาจใช้เป็นข้ออ้างในการออกจากบ้านตอนเย็นๆ ได้นะครับ ไม่ว่ากัน

2. ไม่ควรล้างรถกลางแดด เพราะนอกจากคนล้างอาจไม่สบายได้แล้ว แสงแดดจะทำให้น้ำแห้งเร็วจนเช็ดไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้เกิดคราบน้ำบนผิวสีรถได้

3. ไม่ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดรถแทนการล้างรถ เพราะจะเป็นการทำลายสภาพสี ผงฝุ่นต่างๆ ที่ติดบนผ้าจะทำให้เกิดรอยขนแมวยิ่งเช็ดรถมากครั้งขึ้นเท่าไหร่ การเกิดรอยก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

4. ไม่ควรใช้ไม้ขนไก่ หรือแปรงปัดฝุ่นทุกชนิด ปัดฝุ่น เพื่อทำความสะอาด เพราะมันเหมือนกับการใช้กระดาษทรายเช็ดรถเลยทีเดียว ในขณะที่ปัดฝุ่น ไม้ปัดฝุ่นจะลากถูฝุ่นหรือเม็ดทรายไปตามผิวสีรถ ทำให้เกิดริ้วรอยได้


เคลือบสีรถด้วยตนเอง

รถยนต์ทุกคันมีอายุการใช้งานของสี แม้สีที่พ่นรถมาจะมีประสิทธิภาพสูง แต่สภาพอากาศบ้านเรา มีมลภาวะค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็น ฝุ่นละออง ควัน ไอเสีย สารเคมีในอากาศ ยางต้นไม้ ซึ่งอาจทำอันตรายต่อสีรถได้ หากใช้รถไปนานวัน แต่ไม่มีการดูแลรักษา สีรถจะดูหมอง เก่า ด้าน และสีแตกก่อนเวลาอันควร ดังนั้นการเคลือบสีจึงมีส่วนช่วยในการปกป้องสีรถ ไม่ให้หมอง เก่า ด้าน หรือสีแตกก่อนเวลาอันควร อีกทั้งยังช่วยป้องกันรอยขีดข่วน รอยขนแมว และความร้อนจากห้องเครื่องและแสงแดด ที่สามารถทำลายสีรถ ตลอดจน ปกป้องรถจากคราบสกปรกต่างๆ ที่เกิดจากมูลนก ยางไม้ น้ำค้าง ยางมะตอยได้

การเคลือบสีก็ไม่ยากครับ ก่อนอื่นก็เริ่มจากล้างรถให้สะอาดตามวิธีการข้างต้น แต่ไม่ต้องเช็ดแห้งนะครับ เช็ดรถแค่พอให้น้ำหมาด ๆ จากนั้นก็เทน้ำยาเคลือบสี ลงบนผ้านุ่มที่มีน้ำหมาด ๆ ขอเน้นว่าผ้านุ่มเท่านั้นนะครับ แล้วก็เริ่มเช็ดโดยวน เป็นก้นหอยให้ทั่วบริเวณตัวรถ ทิ้งน้ำยาไว้ตามระยะเวลาที่ระบุไว้ข้างกระป๋อง (ถ้าเป็นของคาร์แลค 68 จะทิ้งน้ำยาไว้ประมาณ 30 นาที) ช่วงนี้ก็พักไปทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ตามใจชอบ หรือถ้ามีเวลาเยอะหน่อยจะทิ้งไว้ทั้งวัน เคลือบเช้า เช็ดเย็นก็ยังได้ แบบว่ายิ่งนานยิ่งดี แต่ไม่ต้องถึงขนาดข้ามวันข้ามคืนนะครับ อันนี้เกินไปนิด พอครบกำหนดก็ใช้ผ้านุ่มเช็ดน้ำยาออกให้หมด แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จ ที่เหลือก็แค่... ใช้ตาครับ ชื่นชมกับผลงานของคุณเอง รับรองครับว่าหายเหนื่อยครับ

แม้ว่าการเคลือบสีจะเป็นการปกป้องสีรถ แต่หากเคลือบสีอย่างเดียวบ่อยๆ สีรถอาจจะดูหมอง ๆ ไปบ้าง เนื่องจากบนผิวสีรถ อาจมีคราบสกปรก หรือคราบมลภาวะ มลพิษที่อาจจะทำลายแลคเกอร์ของรถได้ฝังอยู่ ซึ่งถ้าเคลือบทับไปบ่อยๆ ก็จะทำให้คราบสกปรกเหล่านั้นฝังตัวแน่นขึ้น ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ถ้าเกิดมีละอองสี หรือยางมะตอยฝังอยู่โดยที่เราไม่รู้ และไม่ได้ขจัดมันออกไปก่อน เมื่อเคลือบทับลงไป สิ่งเหล่านี้จะคอยกัดกินผิวสีรถของคุณทำให้ผิวสีรถเป็นรูเล็ก ๆ รถจึงดูหมองลงได้

ข้อแนะนำคือคุณควรจะนำรถไปขัดเคลือบสีตามศูนย์บริการต่างๆ บ้าง การขัด และเคลือบสี ก็คือการที่เรานำสิ่งสกปรกฝังแน่นที่อยู่บนหน้าแลคเกอร์ของสีรถออกไป ทำให้รถมันมีประกายด้วยตัวของแลคเกอร์รถที่แท้จริง เมื่อรถไม่มีคราบแล้ว เราก็ปกป้องความสวยของผิวสีรถนั้น ด้วยการเคลือบสี ทับลงไป ซึ่งจะทำให้รถมีความเงางาม ใส ไม่มีคราบสกปรกฝังอยู่แต่อย่างใด รถจะสวย ใสอยู่ตลอดเวลา ผิวสีรถจะลื่น น้ำและฝุ่นไม่เกาะ รถไม่หมอง แต่ไม่ต้องขัดสีบ่อยนะครับ ประมาณ 4-6 เดือนครั้งก็พอ จากนั้นก็เคลือบสีด้วยตัวเองที่บ้าน เคลือบสีนี่ขอแนะนำให้ทำบ่อย สักหน่อย อาจจะเดือนละครั้งก็ได้ครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความพอใจครับ

วันหยุดหรือเวลาว่างถ้าไม่รู้จะทำอะไร ออกจากบ้านก็เจอรถติด เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ ลองเปลี่ยนมาหยิบถังน้ำ ผ้า แชมพูล้างรถ แล้วมาล้างรถกันดีกว่า หรือถ้าจะให้ดีก็เคลือบสีไปด้วยเลย ได้ออกกำลังเพื่อสุขภาพกาย แถมได้รถใหม่เอี่ยมจากฝีมือเราเอง ทั้งภูมิใจ ทั้งสบายใจ บริหารสุขภาพจิตไปในตัว ถือว่าเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดเลยทีเดียว แต่ถ้าไม่อยากเหนื่อยแรงหรือไม่มีเวลา ลองหาศูนย์บริการที่ถูกใจ ฝากฝังความงามของเจ้าเพื่อนยากให้เค้าดูแลแทนก็ได้ครับ ยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิด แต่คุ้มครับ ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

การใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟฟ้า


ในวันที่ฝนไม่ตก แสงแดดจะจัดจ้า และอุณหภูมิอากาศมักจะร้อนจัด ประชาชนที่ต้องการความสะดวกสบาย มักจะเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อผ่อนคลายบรรเทาความร้อน ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจึงสูงขึ้น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งมีหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าตามความต้องการของประชาชน จึงเชิญชวนให้ประชาชนร่วมใจกันประหยัดไฟฟ้า โดยการจัดทำโครงการประชารวมใจ ประหยัดไฟฟ้าในการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดต่างๆ โครงการหนึ่งคือ โครงการประชารวมใจใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟฟ้า ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่า เครื่องปรับอากาศเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีการเติบโตสูง และใช้ไฟฟ้ามากที่สุดทั้งในด้านที่อยู่อาศัยและอาคารธุรกิจ และอาคารราชการ

โครงการประชารวมใจใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟฟ้า เริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๓๘ โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศในประเทศ ในการกำหนดระดับประสิทธิภาพและพัฒนาเครื่องปรับอากาศ เพื่อติดฉลากแสดงประสิทธิภาพตามมาตรฐานสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (สพอ.) เป็นหน่วยงานทดลองค่าประสิทธิภาพ ได้แก่ ระดับต่ำ ๑ พอใช้ ๒ ปานกลาง ๓ ดี ๔ ดีมาก ๕


การใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟฟ้าเบอร์ ๕

การใช้เครื่องปรับอากาศประหยัดไฟฟ้าเบอร์ ๕ จะช่วยลดการใช้พลังงานโดยรวมของชาติได้ถึง ๓๔๐ ล้านหน่วย โดยผู้ใช้ไฟฟ้าจะประหยัดค่าไฟฟ้าเป็นเงินรวมถึง ๒,๓๒๕ ล้านบาท (คำนวณค่าไฟฟ้าหน่วยละ ๒.๓๕ บาท/kwh และใช้งานเครื่องปรับอากาศเฉลี่ยวันละ ๖ ชั่วโมง

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ แนะนำว่า

การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า ควรพิจารณาท่ค่าอัตราส่วนประสิทธิภาพพลังงานของเครื่องปรับอากาศหรือที่เรียกว่า EER (Energy Efficiency Ration) เท่ากับ ๑๐.๖ หรือมากกว่า เพราะเครื่องจะมีประสิทธิภาพมากกว่า

ผู้ซื้อควรตรวจสอบคู่มือหรือรายละเอียดบนฉลาก ซึ่งมีขนาดของเครื่องทำความเย็น ระบุไว้เป็น บีทียู/ชั่วโมง หรือตัน ซึ่งหมายถึงกำลังไฟฟ้าที่บอกจำนวนวัตต์ที่มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ต้องใช้ และถ้าเป็นระบบแยกส่วนต้องคิดรวมกำลังไฟฟ้าของเครื่องในห้อง และคอมเพรสเซอร์นอกห้องเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้จำนวนวัตต์ทั้งหมด ที่จะใช้คำนวณตามสูตรดังนี้

EER เท่ากับ ขนาดทำความเย็น (BTU/ชั่วโมง) หารกำลังไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมด (วัตต์)

ในปัจจุบัน เครื่องปรับอากาศบางรุ่นใส่เครื่องควบคุมอุณหภูมิแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อตั้งอุณหภูมิและระยะเวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนอุณหภูมิได้ตามต้องการ เครื่องควบคุมนี้ จะช่วยให้เครื่องปรับอากาศที่มีปุ่มเตือนให้ทำความสะอาดแผ่นกรองฝุ่นตามระยะเวลา ปุ่มควบคุมการทำงานของพัดลมที่จะถ่วงเวลาการหยุดทำงานออกไปเป็นระยะเวลาสั้นๆ หลังจากคอมเพรสเซอร์หยุดทำงานแล้ว ซึ่งจะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้น จึงแนะนำให้ซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีฉลากเบอร์ ๕ และมีเครื่องควบคุมดังกล่าวนี้

การเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศ ควรพิจารณาเลือกขนาดให้สัมพันธ์กับพื้นที่ห้อง ตามตาราง ดังนี้

พื้นที่ห้องความสูงปกติ-ตารางเมตร ขนาดเครื่องปรับอากาศ-บีทียู/ชั่วโมง

๑๓-๑๔ ๘,๐๐๐
๑๖-๑๗ ๑๐,๐๐๐
๒๐ ๑๒,๐๐๐
๒๓-๒๔ ๑๔,๐๐๐
๓๐ ๑๘,๐๐๐
๔๐ ๒๔,๐๐๐





การติดตั้งและการใช้เครื่องปรับอากาศ

๑. ควรให้ช่างผู้ชำนาญงานเป็นผู้ติดตั้ง

๒. วางเครื่องไว้ในจุดที่สามารถจ่ายความเย็นได้ดี เพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และควรติดตั้งชุดระบายความร้อน (Condensing Unit) ไว้ในที่เย็น มีร่มเงา ไม่ถูกแสงแดดโดยตรง และอยู่ในที่ที่ระบายอากาศได้ดี

๓. หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองฝุ่นทุกเดือนหรือมากกว่า

๔. ตรวจสอบและทำความสะอาดเครื่องปีละครั้ง โดยช่างที่ชำนาญและตรวจสภาพครั้งใหญ่ ๒-๓ ปีต่อครั้ง เพื่อยืดอายุการใช้งาน

๕. ตั้งอุณหภูมิที่ ๒๕-๒๖ องศาเซลเซียส เพราะอุณหภูมิที่ลดลง ๑ องศา จะทำให้ต้องเสียค่าไฟฟ้าเพิ่มประมาณร้อยละ ๑๐

๖. ควรตรวจสอบหน้าต่างประตูให้ปิดสนิทขณะที่เครื่องปรับอากาศทำงาน ป้องกันไม่ให้ความร้อนเข้ามาภายในห้อง

๗. ลดความชื้นในห้องให้ต่ำที่สุด ไม่ควรปลูกต้นไม้หรือตากผ้าในห้องขณะเปิดเครื่องปรับอากาศ

๘. เปิดเครื่องปรับอากาศเฉพาะส่วนที่จำเป็นเท่านั้น

๙. ถ้าต้องออกจากห้องนานกว่า ๙ ชั่วโมง ควรปิดเครื่องก่อน

ข้อแนะนำอื่นๆ

๑. ใช้ฉนวนกันความร้อนบนเพดาน ป้องกันความร้อนเข้าอาคาร

๒. ใช้ม่านมู่ลี่หรือกันสาด รวมทั้งปลูกต้นไม้รอบบ้านเพื่อป้องกันแสงอาทิตย์เข้ามาสู่อาคารหรือตัวบ้าน

๓. ในการสร้างบ้านใหม่ ควรศึกษาเรื่องความร้อนเข้าสู่อาคาร และหลังคาบ้านควรใช้สีอ่อน ป้องกันการสะสมความร้อนใต้หลังคา กระจกหน้าต่างควรใช้ชนิดแสงผ่านได้ แต่กันรังสีความร้อนไม่ให้ผ่านเข้าได้

๔. ซ่อมแซมรอยแตกที่ฝาผนังหรือประตู ป้องกันความร้อนเข้า และป้องกันความเย็นไหลออก

๕. ถ่ายเทอากาศโดยใช้พัดลมช่วยให้ห้องเย็นขึ้น

๖. ใช้พัดลมตั้งโต๊ะหรือพัดลมเพดาน ประหยัดกว่าใช้เครื่องปรับอากาศได้ถึง ๑๐-๒๐ เท่า

10 สัญญาณเตือนภัย รถของคุณ


คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆ ถึงต่างจังหวัด มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแล และตรวจเช็คก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต จึงขอแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้องต้น กับ 10 สัญญาณเตือนที่จะบ่งบอกได้ว่ารถของคุณนั้นอาการน่าเป็นห่วง

1. สัญญาณเตือน เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม

2. เครื่องยนต์ เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้
- เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว
- เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก
- มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์
ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

3. ยาง การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร
- ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป
- ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป
- ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง
- ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ
ควรนำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่

4. คลัตซ์ คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้
- คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก
- คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์
- แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

5. เกียร์ เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ
- มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่
- เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน
- มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆที่เหยียบคลัตซ์แล้ว
- ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา
ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์

6. พวงมาลัย พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้าย ชำรุดตามไปด้วย
- พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว
- พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว
- พวงมาลัยสั่นในขณะขับ
ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ

7. เบรก ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุด นำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด
- เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ
- เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง
- แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว
ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที

8. ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควร ปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ

9. หลอดไฟ หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า “เรกูเลเตอร์” ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้ เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่

10. น้ำมันหล่อลื่น ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานโดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันทีถ้าอู่อยู่ไกล ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถ ลากไปอู่ซ่อม

ที่มา : เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์

9 สุดยอดสัตว์มีพิษที่อันตรายที่สุดในโลก

ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในปัจจุบัน ทำให้ภาพของการล่าเนื้อของสัตว์ใหญ่อย่าง สิงโต หรือ เสือ เป็นภาพที่เลือนลางไปจากสังคม มนุษย์เราสามารถใช้ชีวิตได้ โดยไม่ต้องเกรงกลัวอันตรายจากสัตว์ใด ๆ

อย่างไรก็ตามแม้เราจะหลีกพ้นจากสัตว์ใหญ่ แต่ยังมีสัตว์เล็กมากมายที่มีพิษร้ายแบบที่คุณประมาทไม่ได้ เพราะหากคุณประมาทมันอาจสร้างความสูญเสียให้กับคุณอย่างมหาศาล ทั้งต่อร่างกายและชีวิต และนี่คือ 9 อันดับสัตว์มีพิษที่อันตรายที่สุดในโลก มาฝาก


อันดับ 9 Puffer Fish - ปลาปักเป้า

ปลาปักเป้า คือสัตว์มีพิษที่มีคนนิยมบริโภคมาก โดยเฉพาะในแถบประเทศญี่ปุ่น (ปลาปักเป้าภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "ฟูกุ" ) และเกาหลี (ในส่วนของภาษาเกาหลีจะเรียกว่า "บ๊อค ฮัง")โดยเนื้อปลาปักเป้านั้นจริงๆแล้ว ไม่ได้มีพิษ แต่ส่วนที่มีพิษก็คือพวกผิวหนังและเครื่องในของปลาปักเป้านั่นเอง แต่พิษเหล่านี้มักจะซึมเข้าไปในเนื้อตอนแล่ พ่อครัวที่จะแล่ปลาปักเป้าต้องมีใบอนุญาติกันเลย ถ้าหากกินพิษของปลาปักเป้าไป อาจจะทำให้เสียชีวิตได้ในทันที

อันดับที่ 8 Poison Dart Frog - กบลูกดอก

กบลูกดอกสีน้ำเงินนั้นเป็นสัตว์ที่อยู่ในป่าฝนในทวีปอเมริกากลาง และ ใต้ เป็นกบที่มีสีสันสวยงามแต่พิษของมันร้ายแรงมาก พิษของกบลูกดอก 1 ตัว สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนและหนูถึง 20000 ตัว พิษของมันเพียง 5 ไมโครกรัม ( เท่ากับปลายเข็ม) ก็สามารถฆ่าคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ๆได้ พิษของมันถูกนำมาใช้ในลูกดอกอาบยาพิษของอินเดียแดง มันจึงถูกเรียกว่ากบลูกดอก

อันดับที่ 7 Inland Taipan -งูไทปันโพ้นทะเล

งูไทปันถูกพบได้มากในทวีปออสเตรเลีย เป็นงูที่มีพิษร้ายแรงมาก พิษที่มันปล่อยออกมาจากการกัดหนึ่งครั้ง สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน หรือหนู 250000 ตัว พิษของมันสามารถฆ่าคนได้ภาพใน 45 นาที แต่อย่างไรก็ตาม งูไทปันเป็นงูที่ค่อนข้างขี้อาย ไม่เคยมีการบันทึกว่ามีคนตายจากพิษของมัน

อันดับที่ 6 The Brazilian wandering spider - แมงมุมบราซิล

แมงมุมบราซิลหรือแมงมุมกล้วย ได้รับการบันทึกลงในกินเนสเวิลด์เรคคอรด์ว่าเป็นแม่งมุมที่มีพิษร้ายแรงที่ สุดในโลก พิษของมันมีพิษทำลายประสาท พวกมันจะอันตรายอย่างมาก เพราะโดยนิสัยของมันแล้วมันชอบแอบอยู่ตามรองเท้า ตู้เสื้อผ้า แม้กระทั่งในรถยนต์ พิษของมันถ้าโดนกัดนอกจากจะทำให้เจ็บปวดอย่างมากแล้ว มันจะทำให้อวัยวะเพศของเราควบคุมไม่ได้ และ ถ้ารอดตายจากการโดนมันกัด มันก็จะทำให้เราเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ


อันดับ 5 Stonefish - ปลาหิน

ถ้าแข่งกันในเรื่องของความสวยงามแล้ว ปลาหิน ท่าทางจะแพ้อย่างขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันเรื่องความรุนแรงของพิษแล้วละก็ เจ้าปลาหินไม่เป็นรองใครอย่างแน่นอน มันได้ชื่อว่าเป็นปลาที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก พิษของปลาหินนี้จะอยู่ในหนามของตัวมันเอง มีคนบอกว่า ถ้าคุณโดนมันแทงเข้าละก้อ คุณจะได้ลิ้มรสความเจ็บปวดเท่าที่มนุษย์จะเจ็บได้เลยทีเดียว นอกจากจะเจ็บสุดๆแล้ว มันจะทำให้คุณเป็นอัมพาต แล้วก็ตายได้ในที่สุด

อันดับที่ 4 ได้แก่ Death Stalker Scorpion -แมงป่องพันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์

แมงป่องโดยทั่วไปนั้น ถึงแม้ว่าจะโดนกัด พิษของมันก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรมนุษย์ได้มากนัก

อาจจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่.....มันไม่ใช่สำหรับแมงป่องพันธุ์ เดธท์ สตอลเกอร์ เลย เพราะพิษของมันสามารถทำลายระบบประสาทได้ ถ้าคุณโดนมันกัด คุณจะปวดอย่างมหาศาล จากนั้นจะตามมาด้วยอาการไข้ขึ้น เป็นอัมพาต และตายในที่สุด แต่ถึงแม้พิษมันจะร้ายแรงมาก แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ได้ แต่ว่ามันจะเป็นอันตรายต่อเด็ก ทารก คนแก่ อย่างมาก ถึงแม้ว่ามันไม่สามารถที่จะฆ่าผู้ใหญ่ได้ แต่มันก็ทำให้เป็นอัมพาตได้นะ

อันดับที่ 3 Blue-Ringed Octopus - ปลาหมึกแหวนน้ำเงิน

ปลาหมึกแหวนน้ำเงินนั้นมีขนาดที่เล็กมาก ขนาดประมาณลูกกอลฟ์เท่านั้นเอง แต่ขนาดไม่ใช่ปัญหาสำหรับความรุนแรงของพิษมันเลย เพราะพิษมันสามารถฆ่าคนได้ภายในไม่กี่นาที และที่สำคัญมันยังไม่มียาแก้พิษ ถ้าโดนปลาหมึกแหวนน้ำเงินกัดละก็ คุณจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากหรอก แต่ว่าพิษมันจะเริ่มทำลายระบบประสาทของคุณ หลังจากนั้นคุณจะรู้สึกอ่อนแอ และคุณก็จะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบหายใจการจะเริ่มล้มเหลว หลังจากนั้น ก็ตายในที่สุด

อันดับที่ 2 Marbled Cone Snail -หอยเต้าปูนลายหินอ่อน

หอยเต้าปูน ตัวเล็กๆสีสันสวยงาม แต่!!!พิษของมันนะหรอ เพียงแค่หยดเดียว สามารถฆ่าคนได้ถึง 20 คน ถ้าคุณเล่นน้ำที่ทะเลที่มันค่อนข้างอุ่นๆ แล้วเห็นเจ้าตัวนี้อยู่ อย่าคิดที่จะหยิบมันมาเล่นเลยนะครับ แค่ดูมันอยู่ห่างๆก็พอแล้ว เพราะถ้าคุณโดนพิษมันเล่นงานละก็ คุณจะปวดหลังจากนั้นก็จะเริ่มบวม ระบบการหายใจเริ่มล้มเหลว ร่างกายจะคันหยุกหยิก เป็นอัมพาต แล้วก็ตายในที่สุด อย่างไรก็ตามมีรายงานว่ามีแค่ 30 คนเท่านั้นที่ตายเพราะหอยเต้าปูน


อันดับที่ 1 King Cobra - งูจงอาง

จงอาง หรือชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ophiophagus hannah เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก ด้วยขนาดโตสุดที่ 5.6 เมตร งูจงอางนั้น เรารู้กันว่าอาหารโปรดของมันก็คือ งู !!! นั่นหมายความว่ามันกินสัตว์ตระกูลเดียวกัน และเพียงแค่โดนมันกัดเพียงครั้งเดียว ก็ทำให้คนตายได้อย่างง่ายๆ และพิษของมันนั้น สามารถฆ่าช้างที่โตเต็มวัยได้เพียงแค่ 3 ชั่วโมง ที่สำคัญ มันพบได้ทั่วไป ในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และในประเทศไทย

ที่มา http://variety.teenee.com/foodforbrain/14778.html

เครื่องดื่มสู้ร้อน


นอกเหนือจากการดื่มน้ำเปล่า หรือ น้ำเต้าหู้ เพื่อรับมือกับความร้อนของอุณหภูมิภายนอก ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังมีเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน และเครื่องดื่มตามธรรมชาติอีกหลายชนิด ที่มีคุณสมบัติช่วยลดความร้อนในร่างกาย ดับ กระหาย แก้ไข้ แก้ร้อนใน และสรรพคุณ อื่นๆ ที่ส่งเสริมความแข็งแรงของสุขภาพใน ช่วงหน้าร้อน

ชาวจีนมีความรู้เรื่องการทำน้ำจับเลี้ยง เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการร้อนในมานาน เป็นเครื่องดื่มที่รวบรวมเอาสมุนไพรหลายชนิด เข้ามาเป็นส่วนผสม ดื่มได้ทั้งแบบร้อนและ เย็น นอกจากจะช่วยป้องกันและบรรเทา อาการร้อนในแล้ว ยังช่วยให้รู้สึกกระชุ่ม กระชวย ชุ่มคอ

ส่วนผสมของน้ำจับเลี้ยงนี้ มีจำหน่าย ชนิดจัดไว้เป็นชุดสำเร็จรูป ตามร้านขายสมุน ไพรจีนทั่วไป หรือใช้ส่วนผสมเหล่านี้อย่างละ หนึ่งหยิบมือ (3-5 กรัม) คือ หง่วงเซียม แซ่ตี่ เหง็กเต็ก แปะตง หล่อฮั้งก๊วย กิมงิ่งฮวย (สายน้ำผึ้ง) เก๊กฮวย ไซเตียวจั๊ว (เมล็ด เพกา) เม่ากิง (หญ้าคา) ไน่เฮียะ (ใบบัว) บักหมี่ฮวย (ดอกงิ้ว) แฮ่โกวเช่า โถวฮก ต้มกับน้ำสะอาด 1-5 ลิตร โดยต้มน้ำให้เดือด ก่อนใส่ตัวยาลงไป ต้มจนได้น้ำยาสีน้ำตาล เข้ม จากนั้นกรองเอาตัวยาออก เติมน้ำตาล กรวดลงไปตามชอบ (อย่าให้หวานนักไม่ดีต่อ สุขภาพ) ต้มจนน้ำตาลกรวดละลาย จากนั้น ใส่ภาชนะที่สะอาด เก็บไว้ดื่มได้ทั้งแบบจับ เลี้ยงร้อนและจับเลี้ยงเย็น (ทั้งนี้ส่วนผสมของ ตัวยาสมุนไพร อาจไม่ต้องครบถ้วนตามชนิด ข้างต้นก็ได้ แต่อาจทำให้รสชาติขาดความ กลมกล่อมไปบ้าง)

นอกเหนือจากจับเลี้ยง ชาวจีนยังนิยม ดื่ม น้ำแชตี่-โถวฮก มีสรรพคุณแก้ร้อนใน เช่นเดียวกัน แต่ยุ่งยากน้อยกว่า เพียงซื้อ แชตี่กับโถวฮกที่สะอาดและใหม่จากร้าน ขายยาจีนอย่างละ 5 กรัม ต้มกับน้ำสะอาด หนึ่งลิตร กรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอากาก ออก จากนั้นนำไปตั้งไฟต่อ เติมน้ำตาล กรวดลงไปเล็กน้อย เมื่อน้ำตาลละลายก็จะ ได้น้ำแซตี่-โถวฮกไว้ดื่มสู้ร้อนกันแล้ว หรือจะเพิ่มแชตี่-โถวฮกลงไปเป็นส่วนผสมใน น้ำจับเลี้ยงด้วยก็ได้ ส่วนเครื่องสู้ร้อนอื่นๆ ที่อยากแนะนำให้ ปรุงดื่มกัน ได้แก่

1. น้ำลูกเดือย ใช้ลูกเดือยแก่เปลือก มาต้มให้สุก แล้วใส่ในเครื่องปั่น ปั่นให้ ละเอียด จากนั้นเติมน้ำเชื่อมและน้ำแข็งลง ไป ปั่นจนเข้ากันดีแล้วเทใส่ภาชนะ ดื่มเพื่อ เติมความสดชื่นให้แก่ร่างกาย
2. น้ำเฉาก๊วย มีสรรพคุณแก้ร้อนใน
3. น้ำเก๊กฮวย แก้ร้อนใน
4. น้ำแตงโม แก้ร้อนใน กระหายน้ำ
5. น้ำอ้อย แก้กระหาย ให้ความชุ่มชื่น มีโพแทสเซียม เหล็ก ไนโตรเจน และฟอส ฟอรัสมาก ควรดื่มน้ำอ้อยหีบสด ไม่ควรดื่ม แบบเคี่ยว เพราะปริมาณน้ำตาลจะมากเกิน ไป
6. น้ำลูกตาล จะนำมาปรุงเป็นลูกตาล ลอยแก้วรับประทาน หรือปอกเปลือกรับ ประทานสดๆ ก็ได้ เพราะในเนื้อลูกตาลอ่อน มีฟอสฟอรัส แคลเซียม และน้ำมาก มีกาก ใยและคาร์โบไฮเดรตสูงพอสมควร ช่วยให้ ร่างกายกระชุ่มกระชวย
7. น้ำคั้น/น้ำเอนไซม์ จากแคนตาลูป มะเขือเทศ สับปะรด น้ำมะพร้าว มะนาว มะเฟือง ทับทิม

ที่มา http://www.ku.ac.th/e-magazine/april46/know/hot.html

กล้วยน้ำว้า บำรุงผิว ดับกลิ่นปาก


บรรดากล้วยทั้งหมดกล้วยน้ำว้าจะให้วิตามินสูงที่สุด ได้ทั้งแคลเซียม โปรตีนและกากใยอาหาร กินกล้วยทุกวัน อย่างน้อยวันละ1 ลูก เพื่อสุขภาพที่ดี

กล้วยสุกช่วยไม่ให้ท้องผูก ระบบขับถ่ายจะดี ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอและเจ็บหน้าอก ที่มีอาการ ไอแห้งร่วมอยู่ด้วยได้ ให้กินวันละ 5-6 ลูก ถ้าท้องเสียให้กินกล้วยดิบ หรือกล้วยห่ามครั้งละครึ่งถึงหนึ่งลูก

คุณสมบัติพิเศษของกล้วยน้ำว้า

- ถ้าต้องการ ไม่ให้มีกลิ่นปากและผิวพรรณดี ให้กินกล้วยน้ำว้า หลังตื่นนอนแล้วค่อยแปรงฟัน ทำอย่างนี้ 1 สัปดาห์ กลิ่นปากจะหายไปผิวพรรณก็ดีขึ้น

- เป็นยาอายุวัฒนะโดยใช้กล้วยน้ำว้าสุกงอมปอกเปลือกแช่ในน้ำผึ้งอย่างน้อย 1 สัปดาห์ กินวันละ 1-2 ผล ทุกวัน

- กล้วยน้ำว้านอกจากจะช่วยในเรื่องของผิวพรรณแล้ว ยังมีเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่งมาบอกให้ทราบกันคือ เมื่อกินกล้วยน้ำว้าแล้วเปลือกอย่าทิ้งนะค่ะ นำมาขัดรองเท้าโดยเฉพาะรองเท้าหนังสีดำ หลังจากนั้นก็ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เช็ดออกรับรองค่ะว่ารองเท้ามันวาวแน่นอน

ต่อไปเรื่องของกล้วยคงจะไม่ใช่กล้วยๆ แล้วนะ กินก็ได้รักษาโรคก็ดี แถมทุกส่วนยังใช้ประโยชน์ได้ดีแม้กระทั่งเปลือกของมันค่ะ

ที่มา : Team Content www.thaihealth.or.th

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เครื่องดื่มบำรุงกระดูก


เครื่องดื่มบำรุงกระดูก
กินดี ช่วยแก้ปวดหลัง



ส่งท้ายสัปดาห์ที่ว่าด้วยเรื่องปวดหลัง ‘กินดี’ เตรียม สูตรเครื่องดื่มบำรุงกระดูกมาให้คุณผู้อ่านลองนำไปผสมดื่มด้วยตนเอง เพราะสารอาหารจากผักและผลไม้ที่รวมอยู่ในเครื่องดื่มมากคุณประโยชน์แก้วนี้ ได้จาก ‘บร็อกโคลี’ ที่อุดมไปด้วยไฟโตเคมิคอล ซัลโฟราเฟน กลูโคซิโนเลต สารต้านการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง ‘แอปเปิ้ลเขียว’ ช่วย ลดความตึงเครียด เพราะมีโพแทสเซียม กำมะถัน เหล็ก แมกนีเซียม วิตามินบี1 บี2 และ บี6 ทั้งยังมีกรดมาลิก แทนนิก เส้นใบเพ็กติน ช่วยทำความสะอาดกระเพาะอาหาร-ลำไส้ และช่วยลดไข้ บรรเทาอาการอักเสบของเนื้อเยื่อ



นอกจากนี้ยังมี ‘คะน้า’ สรรพคุณช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ แก้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เพราะมีวิตามินบี2 ขณะที่ ‘ผักชีฝรั่ง’ ช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรง เมื่อเกิดแผลยังช่วยให้เลือดหยุดไหลได้เร็ว ส่วน ‘ขึ้นฉ่าย’ เป็นผักที่ช่วยบำรุงตับ แก้ร้อนในและความดันโลหิตได้



ส่วนผสมต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น จะต้องเตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้...



บร็อกโคลี 1 ถ้วย

ผักชีฝรั่ง 1/2 ถ้วย

คะน้า 1/2 ถ้วย

แอปเปิ้ลเขียว 2 ถ้วย

ขึ้นฉ่าย 1/2 ถ้วย

น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย



สำหรับ ขั้นตอนในการผสมเครื่องดื่มบำรุงกระดูก เริ่มจากล้างผักและผลไม้ทั้งหมดให้สะอาด นำบร็อกโคลีหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ซอยผักชีฝรั่งและขึ้นฉ่ายจนละเอียด ส่วนคะน้านำไปบุบพอแตกแล้วจึงไปหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผัก-ผลไม้ แล้วพักไว้



หัน ไปหั่นแอปเปิ้ลเขียวเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า และนำไปปั่นรวมกันกับส่วนผสมที่สกัดเตรียมไว้ด้วยเครื่องปั่น สามารถเติมน้ำแข็งป่นเพื่อความเย็นสดชื่นแล้วดื่มได้ทันที หากน้ำผักและผลไม้มีลักษณะข้นเกินไป ให้เติมน้ำแร่ลงไปเล็กน้อยเพื่อช่วยเจือจาง

ข่าวสารจาก: http://www.thaihealth.or.th/node/12949

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า


กินผลไม้ให้ถูกเวลา…มากคุณค่า




ประเทศเรามีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาด ตลอด ทั้งปี ราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้แช่เย็นจากแดนไกล ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก

คนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะจะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่ากินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็นเรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว



นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ย ถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและ หัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่าง กายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป

กินผลไม้ตอนท้องว่าง…ได้ประโยชน์สูงสุด ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออก จากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูก วิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้า สู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อย ประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจาก อาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย




เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวยอยู่เสมอ


ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญ ที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติ เท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย




ข่าวสารจาก: http://www.vcharkarn.com/varticle/40120

วิธีการพักสายตา จากการใช้ คอมพิวเตอร์


วิธีการพักสายตา จากการใช้ คอมพิวเตอร์

คนเราส่วนใหญ่จะนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์มากๆ มีบางครั้งล้าสายตาหรือปวดตา ทำให้เกิดการระคายเคือง ตาอักเสบ วิธีการช่วยบรรเทาการปวดตา
1. หลับตา แล้วเกือกตาไปมา ซ้าย ขวา บน ล่าง และหลับให้นิ้งประมาณ 5 นาที
2. ออกไปสูดอากาศหายใจจะได้ผ่อนคลายไปในตัว
3. มองดูอะไรก็ได้ที่เป็นสีเขียว เช่น ต้นไม้ สนามหญ้า ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ ที่มองแล้วสบายหูสบายตา วิธีนี้ส่วนมากใช้ได้ผล 70%
4. หาอุปกรณ์ เช่น แว่น ฯลฯ


เมื่อเทคโนโลยีมันก้าวมาถึงขีดที่คอมพิวเตอร์ซึ่งเคยแสนวิเศษ กำลังจะกลายเป็นอุปกรณ์ธรรมดาๆ ที่จำเป็นต้องมีของทุกหน่วยงาน

ทุกคนต้องใช้ได้ใช้เป็น และเรากำลังหลงใหลได้ปลื้มกับความสามารถของคอมพิวเตอร์ จนลืมนึกถึงพิษภัยที่มันมากับคอมพิวเตอร์ แม้จะไม่ใช่ทางตรงทีเดียวกันก็ตาม พิษภัยนี้มีไว้สำหรับท่านที่นั่งใช้อยู่หน้าจอเป็นประจำเท่านั้น โดยเฉพาะท่านที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอเกิน 6 ชั่วโมงต่อวัน จากการนั่งทำงานเป็นประจำ ผลกระทบต่อสุขภาพเบื้องต้นที่แน่ๆ ก็คือ ปวดหลัง ปวดไหล่ ต้นคอ และข้อมือ เกิดอาการเครียดที่ตา เพราะขณะมองจอนั้นผู้ใช้มักไม่กะพริบตา เป็นผลให้ตาขาดน้ำหล่อเลี้ยงเกิดอาการระคายเคืองได้ และอาการที่ตามมาคือตาพร่าและมองไม่เห็นชั่วคราว นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการไมเกรนพ่วงมาด้วย


ปัญหาทางตาเป็นปัญหาที่น่าห่วงมาก เพราะเมื่อตาเกิดความเครียดกล้ามเนื้อตา จะบีบรัดเลนซ์ตาจนเกิดความเมื่อยล้า หมอจึงแนะนำว่า ถ้าต้องใช้สายตาอยู่กับจอนานๆ ควรพักสายตาทุกสิบนาที

ด้วยการเปลี่ยนไปมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปสัก 20 ฟุต มองสัก 2-3 นาทีแล้วค่อยมองจอต่อ จักษูแพทย์ได้แนะให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์นานๆ ต้องพักสายตาให้มองไกลทุก 10 นาที และท่านที่มีปัญหาสายตาสวมแว่นอยู่แล้วนั้น ถ้าต้องมารับหน้าที่อยู่หน้าจอนานๆ ควรมีแว่นตาเฉพาะสำหรับงานหน้าจอนี้ด้วยอีกอันหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากแว่นตาที่ใช้ยามปกติ ส่วนจะแตกต่างอย่างไร คงต้องปรึกษาจักษุแพทย์ และในขณะเดียวกันท่านเหล่านี้ควรได้รับการตรวจวัดสายตาเป็นประจำ เพื่อให้ได้ขนาดเลนซ์ที่เหมาะสม


นอกจากนี้ เพื่อเป็นการถนอมสายตาที่ยังไม่มีปัญหา


ท่านไม่ควรสวมเสื้อผ้าที่มีสีสว่างขณะนั่งหน้าจอ เพราะสีของเสื้อจะไปทำให้เกิดแสงสะท้อนบนจอภาพได้ และแสงสะท้อนนี้แหละที่จะทำให้กล้ามเนื้อตาอ่อนล้ากว่าปกติ และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตาเมื่อยล้าได้คือ ถ้าแสงจากจอสว่างน้อยกว่าแสงโดยรอบ ข้อนี้ผู้จัดสำนักงานควรจะมีความรู้ด้วย ทั้งหมดคงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์เองที่จะเป็นผู้รับผิดชอบสุขภาพของตนเอง เพราะถ้าเกิดปัญหาสายตาขึ้น จะไปเรียกร้องเงินทดแทนก็คงทำได้ยาก

มาดูแลรักษาระบบเบรกกันเถอะ


จะเกิดอะไรขึ้นหากระบบเบรกไม่ทำงาน? และเพื่อเป็นการถนอมให้เบรกมีอายุการใช้งานได้นานขึ้น มีประสิทธิภาพดีอยู่ตลอดเวลา เราจึงควรรู้วิธีดุแลรักษาที่ถูกต้อง

การตรวจสอบและเติมน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเบรก ฉะนั้น จึงควรตรวจสอบให้อยู่ในระดับที่พอดีเสมอ หากปล่อยให้น้ำมันเบรกแห้งหรือรั่วไหลออกไปหมดหรือเหลือน้อย การเบรกอาจไม่มีประสิทธิภาพจนทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

ขั้นตอนการเติมน้ำมันเบรก

เปิดฝากกระโปรงรถแล้วตรวจเซ็กระดับของนำมันเบรกในถ้วยน้ำมันเบรก ซึ่งซึ่งจะติดกับกับบริเวณตัวถังในส่วนที่ติดกับกระจก ถ้าน้ำมันเบรกในถ้วยอยู่ในระดับ Max ก็ยังไม่ต้องเติมน้ำมันเบรก แต่ถ้าอยู่ในระดับ Min ต้องเติมน้ำมันเบรกให้ถึง Max
ห้ามเติมน้ำมันเบรกเกินระดับ Max เพราะจะทำให้น้ำมันเบรกกระฉอกเวลารถวิ่ง ซึ่งน้ำมันเบรกจะทำปฎิกิริยากับสีรถหรือบริเวณใกล้เคียงให้เสียหายได้
ก่อนปิดฝาน้ำมันเบรกให้เช็ดทำความสะอาดบริเวณฝาปิด – เปิดให้สะอาด เพื่อป้องกันเม็ดทรายหรือละอองต่างๆ ตกลงไป ซึ่งอาจทำให้ระบบเบรกเสียหายได้
ปิดฝาให้เรียบร้อย อย่าลืม ก่อนปิดฝาต้องทำความสะอาดบริเวณฝาปิดถ้วยน้ำมันเบรกด้วย
การดูแลรักษาระดับน้ำมันเบรกและเติมน้ำมันเบรกให้ทุกๆ 3 วัน อย่าทิ้งให้นาน เพราะปริมาณน้ำมันเบรกจะลดลงในการใช้งานทุกครั้งจึงต้องหมั่นดูแลเข้าในใส่
ข้อควรระวัง นำมันเบรกสามารถทำปฏิกิริยากับสีรถได้ ฉะนั้น เมื่อหากทำหกหรือหยดลงบริเวณตัวถังรถควรเช็ดให้แห้งทันที อย่าปล่อยไว้เพราะจะทำให้สีถลอกได้ แล้วห้ามวางขวดน้ำมันเบรกบนฝากระโปรงรถ ควรจะมีการเช็กถึงคุณสมบัติของน้ำมันเบรกเมื่อรถวิ่งไปได้ประมาณ 10,000 กิโลเมตร และเกทุก 10,00 กิโลเมตร จนถึง 40,000 กิโลเมตร จึงถ่ายน้ำมันเบรกเก่าออกแล้วเติมน้ำมันเบรกใหม่ลงไปแทนที่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก

ขอขอบคุณ : นิตยสาร Lisa

12 Tips ฝึกนิสัยการอ่าน ง่ายนิดเดียว!


12 Tips ฝึกนิสัยการอ่าน ง่ายนิดเดียว!
หลายๆ คนคงประสบปัญหาว่า มีหนังสือที่ซื้อมามากมาย แต่ยังอ่านไม่หมดซักที เพราะเวลาจะอ่านหนังสือแทบไม่มี บางคนก็ดองไว้นานจนลืมไปแล้วว่า เอ เคยซื้อเล่มนี้มาด้วยเหรอ??? พอยังอ่านเล่มที่มีไม่หมด หนังสือเล่มใหม่ที่น่าสนใจก็ออกมาอีกแล้ว จะทำยังไงดีนะ ?

1.วางแผนเรื่องเวลา วางแผนไว้เลยว่าเราจะอ่านหนังสืออย่างน้อยครั้งละ 5-10 นาที ทำให้เป็นนิสัยที่จะอ่านหนังสือระหว่างทานอาหาร ไม่ว่าจะเช้า กลางวัน หรือเย็น (โดยเฉพาะเวลาที่ทานอาหารคนเดียว) รวมทั้งเวลานอน นั่นเท่ากับคุณมีเวลาถึง 4 ครั้งต่อวัน หรือเท่ากับ 40 นาทีต่อวันเลยทีเดียว

2.มีหนังสือไว้กับตัวตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ก่อนออกจากบ้าน ติดเอาหนังสือไปกับคุณด้วยสิ ไม่ว่าจะไปออฟฟิศ ไปเรียน นัดเจอเพื่อนซี้ ทำธุระที่ธนาคาร ไปหาหมอฟัน ฯลฯ เวลานั่งรอ ก็หยิบหนังสือออกมาอ่านได้เสมอ แถมทำให้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วย

3.จัดทำลิสต์รายการหนังสือ เก็บลิสต์รายการหนังสือดีๆ ทั้งหมดที่ต้องการจะอ่านเอาไว้ แล้วบันทึกลงในสมุดบันทึกประจำวันของเรา, ในสมุดโน้ต หรือในโฮมเพจส่วนตัวก็ได้ พออ่านเสร็จ ก็แค่ขีดฆ่าเล่มที่เราอ่านแล้ว เท่านี้ก็สามารถจัดการลำดับในการอ่านหนังสือได้อย่างง่ายดาย

4. เก็บบันทึกเหตุการณ์ เหมือนกับลิสต์รายการอ่านหนังสือ แต่ไม่ใช่การบันทึกแค่ชื่อหนังสือ และผู้แต่งหนังสือที่เราอ่านเท่านั้นนะ แต่รวมถึงวันที่เริ่มอ่าน และวันที่อ่านจบ และถ้าจะให้ดี บันทึกสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ไว้ด้วย เวลาย้อนกลับมาอ่านจะได้จำได้ไงล่ะ

5.ค้นหาสถานที่เงียบๆ ค้นหาสถานที่ในบ้าน ที่เราจะสามารถนั่งเก้าอี้ที่แสนสบาย (ไม่ใช่การนอนลงนะ เว้นว่าเราอยากจะนอนหลับ!!) และเอนตัวลงกับหนังสือดีๆ ได้ โดยปราศจากการรบกวนหรือขัดจังหวะ ซึ่งนั่นควรจะไม่มีโทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ใกล้ๆ ที่จะทำให้ไขว้เขวไปได้ และต้องไม่มีเพลง หรือสมาชิกในครอบครัว, เพื่อนร่วมห้องที่ส่งเสียงดัง แต่ถ้าไม่มีสถานที่แบบนี้ ลองค้นหาให้เจอสิ อย่างเช่น ร้านกาแฟเล็กๆ ห้องสมุด หรือสวนสาธารณะที่เงียบๆ ลมเย็นๆ ก็ได้ …แค่นี้ก็ได้อ่านหนังสืออย่างมีความสุขแล้ว

6.ลดการดูทีวี หรือเล่นอินเตอร์เน็ต ถ้าคุณต้องการอ่านหนังสือให้มากกว่านี้จริงๆ ลองตัดการบริโภคทีวีหรืออินเตอร์เน็ตลง มันอาจจะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับหลายๆ คน แม้ในตอนนี้ คุณก็สามารถอ่านหนังสือแทนการเล่นอินเตอร์เน็ตนะ! แค่นี้ก็สามารถสรรสร้างช่วงเวลาแห่งการอ่านหนังสือได้แล้ว

7.มีวันแห่งห้องสมุด ทำให้เป็นนิสัยในการเดินทางสำหรับทุกอาทิตย์ ด้วยการไปห้องสมุด นอกจากจะสามารถหยิบหนังสือของเราติดมือไปอ่านได้แบบเงียบๆ สบายๆ แล้ว ในนั้นยังมีหนังสือน่าอ่านตั้งมากมายรอให้เราไปค้นหา แทนที่จะไปเดินช้อปปิ้ง หรือนอนพักผ่อนเฉยๆ อยู่บ้าน ก็ไปห้องสมุด แล้วหาหนังสือถูกใจอ่านกันเถอะ เพราะนอกจากได้อ่านหนังสือในบรรยากาศเงียบๆ สมใจแล้ว ยังได้อ่านฟรีอีกต่างหาก…คุ้มแสนคุ้ม!

8.อ่านหนังสือที่สนุกๆ และกระตุ้นความสนใจได้ ค้นหาหนังสือที่น่าสนใจจริงๆ สำหรับคุณ แม้ว่าหนังสือพวกนั้นจะไม่ใช่วรรณกรรมระดับมาสเตอร์พีซ แต่ทำให้เราอยากอ่านมันได้ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ หลังจากนั้น เราก็สามารถเปลี่ยนไปอ่านอะไรที่มันยากขึ้นได้ แต่สำหรับตอนนี้ มุ่งไปสู่สิ่งที่ทำให้สนุก และสิ่งที่น่าสนใจดีกว่านะ อย่างนิยายโรแมนติกคอเมดี หรือ ซีรีส์สืบสวนหรรษา ที่เรียกเสียงฮาได้ตั้งแต่ต้นจนจบนั่นไง

9.ทำให้การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ให้ความเพลิดเพลิน ทำให้การอ่านหนังสือของเราเป็น ช่วงเวลาที่น่าโปรดปราน อย่างการจิบชาดีๆ หรือจิบกาแฟในช่วงเวลาที่อ่านหนังสือ มีเก้าอี้ที่แสนสบาย หรือจะเลือกช่วงเวลาในการอ่านหนังสือระหว่างช่วงที่พระอาทิตย์ขึ้น หรือพระอาทิตย์ตก หรือไปนอนเอกเขนกที่ชายหาด ก็ย่อมจะช่วยสร้างบรรยากาศให้เราเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ

10.บันทึกเรื่องราวการอ่านหนังสือลงไปใน Blog เป็นอีกหนึ่งในเคล็ดลับที่ดีที่สุดที่จะ สร้างนิสัยในการอ่าน คือการบันทึกเรื่องราวลงใน Blog ของเรา จะเป็น Hi5, Facebook, Multiply หรืออะไรก็แล้วแต่ นอกจากจะสามารถอธิบายความคิดของเราเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้นๆ ได้แล้ว คนอื่นๆ ยังสามารถให้คำแนะนำเราเกี่ยวกับหนังสือ และแสดงความคิดเห็นในหนังสือบางเล่มที่เรากำลังอ่านได้อีกด้วย

11.วางแผนเป้าหมายสูงสุด บอกตัวเองว่า เราต้องการอ่านหนังสือจำนวน 50 เล่มในปีนี้!! (หรือตัวเลขอื่นๆ ประมาณนั้น) หลังจากนั้น วางแผนที่จะทำเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ แต่ต้องแน่ใจว่าเราจะยังคงสนุกกับการอ่านอยู่ ไม่ต้องรีบเร่ง เพราะเป้าหมายจริงๆ ของเราก็คือ การอ่านหนังสือที่เคยซื้อเอาไว้ให้หมดนี่นา…

12.มีชั่วโมงการอ่าน หรือวันแห่งการอ่าน ถ้าปิดทีวี หรืออินเตอร์เน็ตตอนเย็นๆ เราก็สามารถวางแผนเวลา (บางทีแค่หลังทานข้าวเย็น) เมื่อเราและสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดอยู่ด้วยกัน ถ้าทำให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมกับเราได้ในการอ่านหนังสือได้ ก็จะสนุกสุดๆ ไปเลย!!!

*เรียบเรียงจาก http://www.lifehack.org

รอบรู้เรื่องมีด


‘มีด’ ของใช้ มีคม ที่มักประจำการอยู่ตามห้องครัว มีให้เลือกใช้หลากหลายประเภท มีแบบไหนใช้งานอย่างไรให้ถูกวิธี วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีมาบอก…

- มีด มีทั้งที่ทำจากเหล็กสแตนเลสและทองเหลือง ควรเลือกมีดที่ทำจากเหล็กเนื้อดีไม่เป็นสนิมด้ามทำจากเนื้อเหล็กอย่างดีติดแน่นกับตัวมีด

- มีดอีโต้ ใช้ในการสับเนื้อสัตว์ต่าง ๆ

- มีดปลายแหลมมีหลายแบบ ไว้ใช้หั่นผัก ใช้ปอกผลไม้ และมีดปลายแหลมเล็กๆโค้งๆ ไว้สำหรับแกะสลักผลไม้และผักต่าง ๆ เพื่อความสวยงาม

- มีดต่างๆ เมื่อใช้ไปนาน ๆ ก็จะหมดความคมต้องทำการลับด้วยหินลับมีดซึ่งมีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมหนา

- วิธีลับ คือ ให้วางหินลับมีดชนิดก้อนสี่เหลี่ยมหนาไว้หินบนผ้าเพื่อไม่ให้หินเลื่อน วางปลายมีดบนหินมือขวาจับด้ามมีดมือซ้ายกดให้คมถูออกไปตามหินกดให้น้ำหนักเบาและเสมอกันสุดปลายมีดทำอย่างนี้ด้านละ 3-4 ครั้ง

- การใช้มีดให้คมนาน คือ อย่าใช้มีดหั่นของที่ร้อนจัดบ่อย ๆ เพราะจะทำให้มีดหมดความคมได้ง่ายเมื่อใช้เสร็จแล้วก็ต้องทำความสะอาดเช็ดให้แห้งแล้วจึงเก็บเข้าที่

เพียงเท่านี้ ก็จะมีมีดคม ๆ ไว้ใช้ได้อีกนาน.

ที่มา เดลินิวส์

การรักษาสีรถ


คนรักรถ ที่ไม่อยากให้สีรถหลุดลอกง่าย ๆ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีรักษาสีรถมาบอก…

- ไม่ควรจอดรถไว้ใกล้ ๆ กับโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยสารเคมี เช่น โรงงานผลิตอาหารสัตว์ โรงงานผลิตสารเคมี เพราะฝุ่นละอองจากอาหารสัตว์หรือสารเคมี ที่ปลิวมาติดผิวสีของรถอาจจะเป็นกรดหรือด่างเข้มข้นสามารถกัดสีให้เป็นจุดเป็นดวงได้หรือทำให้สีอ่อนตัวลงได้

- ควรพยายามจอดรถในที่ร่มหรือที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก พื้นไม่อับชื้น หากจำเป็นต้องจอดกลางแดดควรใช้ผ้าคลุม

- เมื่อขับรถผ่านบริเวณที่มีฝุ่น โคลน หรือชายทะเลเป็นเวลานานๆ ควรล้างฝุ่น โคลนหรือคราบต่างๆ ออกให้หมดเพราะคราบเหล่านี้ สามารถดูความชื้นได้ดี จึงทำให้ผิวสีเสื่อมคุณภาพได้ง่าย และบางครั้งสิ่งสกปรกที่เกาะติดผิวสีรถก็เป็นสารเคมีที่ทำอันตรายต่อสีรถด้วย

- อย่าทำให้รถเกิดรอยขีดข่วนหรือหลุดร่อนเพราะจะทำให้ตัวรถผุและจะลามออกเป็นบริเวณกว้างทั้งนี้เพราะรอยขีดข่วนจะไม่สามารถป้องกันความชื้นระหว่างผิวสีกับผิวโลหะได้

- หากมีคราบน้ำมันหรือสารเคมีต่างๆ เปื้อนผิวสี ต้องรีบล้างออกทันที โดยใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด หรือ ผสมสบู่อ่อนๆ หรือ แชมพูสำหรับล้างรถก็ได้ ห้ามใช้ทินเนอร์ น้ำมัน หรือ สารเคมีใดๆ ทำความสะอาดสีรถโดยเด็ดขาด สารเคมีที่มีโอกาสจะถูกสีรถได้ง่ายก็คือ น้ำมันเบรกซึ่งจะกัดสีในทันทีที่สัมผัสกับสีรถ การใช้จึงต้องระวังเป็นพิเศษ นอกจากนี้น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และ น้ำหอมประจำรถก็มีผลต่อสีรถเช่นกัน หากหกเลอะรถควรรีบใช้ผ้านุ่มที่สะอาดเช็ดออกโดยเร็วและล้างด้วยน้ำ

- สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ควรจะเคลือบสีทุกครั้ง หลังจากการล้างรถ เพื่อป้องกันสิ่งต่าง ๆ ที่จะมาทำลายสีรถ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการขัดเคลือบสี ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าการเคลือบสี

เพียงเท่านี้ก็สามารถรักษาสีรถไม่ให้หลุดลอกได้ง่าย.

ที่มา เดลินิวส์

วิธีรักษาเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ


ใครที่ประสบปัญญาเท้ามีกลิ่นเหม็น วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์ มีวิธีการดูแลรักษาเท้าให้สะอาดมาบอก…

เริ่มจาก ควรล้างเท้าอย่างพิถีพิถัน โดยเฉพาะบริเวณง่ามนิ้วเท้า ควรใช้สบู่เด็กหรือผลิตภัณฑ์รักษาความสะอาดโดยเฉพาะ เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นแหล่งรวมของเชื้อรา

ควรประณีตกับการล้างเท้า โดยการใช้หินลอย มาขัดหนังที่แข็งกระด้างออก และอย่าลืมเช็ดเท้าให้แห้งสนิท

เมื่อเท้ามีอาการปวดเมื่อยจากการเดิน ให้นำเท้าแช่ไปในน้ำอุ่นผสมเกลือ ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นแช่ในน้ำเย็นอีกประมาณ 2-3 นาที ก็จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและทำให้ผิวเท้านุ่มขึ้นอีกด้วย

สุดท้าย ควรทาครีมที่เท้าเป็นประจำ เพื่อรักษาผิวให้มีความชุ่มขึ้นอยู่เสมอ

อยากมีสุขภาพเท้าที่ดี ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้.

ที่มา เดลินิวส์

วิธีปลูกมะนาว




บ้านไหนที่อยากปลูกมะนาวไว้รับประทานเอง วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีการปลูกมาบอก…

การปลูกมะนาวควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน โดยเริ่มจากการขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 เซนติเมตร จากนั้นผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร็อคฟอสเฟตเข้าด้วยกันใส่ไปในหลุมให้ สูงประมาณ 2 ใน 3 ของหลุม เสร็จแล้วให้ยกถุงกล้าต้นไม้วางในหลุม โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย ใช้มีดกรีดถุงจากก้นถุงขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2 ด้าน ดึงถุงพลาสติกออก ระวังอย่าให้ดินแตก กลบดินที่เหลือลงในหลุม กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น

ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมพัดโยก หาวัตถุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว หญ้าแห้ง และรดน้ำให้ชุ่ม สุดท้ายทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด

เพียงเท่านี้ ก็สามารถปลูกมะนาวไว้รับประทานเองที่บ้านได้แล้ว.

ที่มา เดลินิวส์

อะไรอยู่ในยอดผัก




ผักบุ้ง
ยอกผักบุ้งเป็นที่รวมของวิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซีและใยอาหาร บำรุงสายตาดีนักแล

ผักกระเฉด
คนไทยเรากินผักกระเฉดกันมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าผักกระเฉดมีแต่วิตามินตัวเก่งๆ ทั้งนั้น ทั้งธาตุเหล็ก แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินซี ที่สำคัญมีเบต้าแคโรทีน อาหารของผิวสวยรวมอยู่ด้วย คนไทยสมัยก่อนตากแดดทั้งวันแต่ไม่ค่อยเป็นกระ สงสัยเพราะผักกระเฉดช่วยไว้

ชะอม
ไข่ทอดชะอมที่หลายๆคนโปรดปรานจะทำให้คุณได้ทั้งโปรตีนและวิตามินซี ของดีทูอินวันอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะ ขอบอก

ยอดมะขาม
เปรี้ยวนิดๆ แต่เคี้ยวเพลินเหมาะจะจิ้มกับน้ำพริก คือนิยามของยอดมะขาม ยิ่งถ้าเป็นหวัดจะช่วยให้หายเร็วมากขึ้น เพราะในยอดของมะขามมีวิตามินซีล้นเหลือ มะนาวเรียกปู่เลยเชียวล่ะ

ยอดกระถิน
ถ้าไม่อยากเป็นมะเร็ง รีบไปหามากินซะนะ เพราะเจ้ายอดกระถินอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน ศัตรูตัวร้ายของมะเร็งกลัว แต่คนแซบๆอย่างเรา และผู้หญิงที่กำลังมีรอบเดือน ถ้ากินแล้วจะได้ธาตุเหล็กกลับไปสร้างเม็ดล์อดได้อีกเยอะ

ยอดมะพร้าว
เรื่องความอร่อยคงรู้ๆกันอยู่ แต่นอกจากจะหอเจี๊ยะแล้ว ยอดมะพร้าวยังมีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินซีสูงมากๆ ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรค ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรงอีกด้วย

ตำลึง
อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินซี ความดีแค่นี้พอหรือยัง สำหรับตำลึงเป็นของดีคู่ครัว

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยาสาร Spicy

ปวยเล้ง-ผักป๊อบอาย


ป๊อบอาย” เป็นตัวละครการ์ตูนพระเอก มีอาชีพกะลาสีเรือ มีแฟนชื่อ โอลิฟออยล์ และมีคู่ต่อสู้ตัวร้าย ชื่อ บลูโต ละครแต่ละตอนมักมีการแย่งนางเอกโอลีฟระหว่าพระเอกกับตัวร้าย ป๊อบอายมีรูปร่างผอม ส่วนบลูปโต กล้ามใหญ่ ฉะนั้นการต่อสู้ พระเอกมักพลาดพลั้ง แต่เมื่อกินผักปวยเล้ง ก็จะเพิ่มพลัง และต่อสู้ชนะ และแย่งโอลีฟได้

ปวยเล้ง มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบทางตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียและแถบอัฟกานิสถาน ลักษณะใบใหญ่เขียว มีจำนวนใบประมาณ 25 ใบต่อต้น มีก้านเล็กและสั้นต้นขนาดสูง 25-45 เซนติเมตร เจริญได้ดีที่อากาศเย็น ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ปลูกมากที่สุดในโลก ซึ่งประมาณร้อยละ 75 ของพื้นที่ผลิตได้ใช้แปลรูปเป็นปวยเล้งกระบองและแช่แข็ง ราคาถึง 180 บาท ต่อกิโลกรัมทีเดียว
ปวยเล้งมีคุณค่าทางโภชนาการที่สำคัญอันประกอบไปด้วยโปรตีน คาร์โบโฮเดรท กรดโฟลิก วิตามิน บี ซี ดี อี เค แล้วยังประกอบไปด้วยแคลเซียมและธาตุเหล็กที่ดูดซึมได้ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือด ถอนพิษสุรา ช่วยให้ลำไส้และกระเพราะอาหารทำงานดีขึ้น กระตุ้นการหลั่งสารอินซูลิน ช่วยย่อยอาหารและยังช่วยป้องกันโรคตาบอดกลางคืนได้อีกด้วยปวยเล้งนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายและอร่อย ไม่ว่าจะเป็น ลวก ผัด หรือนำไปทำไส้ขนมเบเกอรี่ก็อร่อยมาก เนื้อสัมผัสนิ่มของผักเหมาะกับผู้สูงอายุและเด็ก

กลุ่มงานวิชาการหลักสูตรสาธารณสุขศาสตร์บัณฑิต (ต่อเนื่อง) ภาคพิเศษ
คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาลัยมหิดล

ที่มา : เดลินิวส์

เรื่องขององุ่นแดง


องุ่นแดงมีสีตั้งแต่แดงเรื่อๆ จนแดงเข็มเหมือนกับดำ เช่นองุ่นพันธุ์ black pearl เป็นต้น สีแดงนั้นเป็นเม็ดสีและมีอยู่ที่ผิวองุ่นพันธุ์เท่านั้น และผิวองุ่นมีน้ำหนักเฉลี่ยเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักผล หากคั้นน้ำองุ่นแดงจะได้น้ำที่ปราศจากสีเจือปนสีแดงขององุ่นเป็นสารสีแอนโธชัยนิน ซึ่งเป็นกลุ่มสารฟินอลที่มีคุณสมบัติเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยเชื่อว่าจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งและซะลอความแก่เป็นต้น องุ่นแดงที่ใช้ทำไวน์จะมีสารดังกล่าวอยู่ 1.0 ถึง 2.8 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่น ซึ่งสูงกว่าองุ่นแดงที่รับประทานสดที่มีอยู่เพียง 0.07 ถึง 0.15 มิลิกรัมต่อกรัมขององุ่นสดเท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้ได้รับสารที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่ครั้งต่อไปควรรับประทานองุ่นสีแดงเข้มและควรเคี้ยวเปลือกองุ่นให้แหลกเพื่อปลดปล่อยสารแอนโธชัยนินออกมาให้มากที่สุด

โครงการเผลแพร่ความรู้และผลงานวิชาการผ่านสื่อหนังสือพิมพ์
คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เชื่อหรือไหม…เปลือกไข่มีประโยชน์


ประโยชน์ที่ส่าไม่ไช่หมายถึงการเอาเปลือกไข่ไปทาสีวาดหน้าตาเป็นตัวตลกเล่น แต่เป็นประโยชน์ที่ร่างกายจะได้พลังงานจากการกินเจ้าเปลือกเข้าไป ด้วยการเอาเปลือกไข่มาล้างให้สะอาดย่างให้ร้อนแล้วตำบดจนแห้งเป็นผง (หรือถ้าใครกว่ามันดำก็เปลี่ยนเป็นอบแทน) จากนั้นก็เอาไปหุงปนข้าว คุณจะได้ข้าวที่เสริมแคลเซียมมาอย่างดี เหมาะสำหรับเด็กคนแก่ และคนที่ทำงานอย่างหนักทุกคน

การเปลี่ยนแปลงคุณภาพของไข่ไก่ระหว่างการเก็บรักษา


ไข่ไก่เป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งไข่ที่มีคุณภาพดีย่อมเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตามหลังจากที่ไข่ไก่ออกจากแม่ไก่แล้ว คุณภาพของไข่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของไข่สามารถสังเกตได้จาดองค์ประกอบของไข่ที่มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาการเก็บรักษา ลักษณะที่พบได้ในไข่เก่ามีดังต่อไปนี้ ในกรณีของไข่แดง พบว่า ไข่แดงขยายตัวใหญ่ขึ้น ซึ่งเกิดจากการแครื่อนที่ของน้ำในไข่ขาว ซึ่งมีปริมาณน้ำมากกว่าไปยังไข่แดงที่มีปริมาณน้ำน้อยกว่า ทำให้เยื่อหุ้มไข่แดงฉีกขาดออก ดังนั้นในไข่เก่าจะแยกไข่ขาวกับไข่แดงออกจากกันได้ยาก และเมื่อตอกไข่เก่าลงบนพื้นจะเห็นว่าไข่แดงมีลักษณะแบนราบกว่าปกติ ขณะที่ไข่ขาวเปลี่ยนจากลักษณะข้นกลายเป็นเหลว เนื่องจากเอนไซม์ในไข่ขาวย่อยโปรตีนให้เป็นลิกุลที่เล็กลง นอกจากนี้ไข่ข่าวยังมีความเป็นด่างเพิ่มขึ้น เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เสียไปทางรูเปลือกไข่ ทำให้ไข่มีความเป็นกรดลดลง จุลินทรีย์เจริญได้ดีขึ้น ไข่จึงเกิดการเน่าเสียได้ง่าย อย่างไรก็ตามการเก็บรักษาไข่ให้อยู่ในสภาวะที่เมาะสม เช่นการเก็บในที่มีอุณหภูมิต่ำ (ในตู้เย็นที่ 4 – 5 องศาเซลเซียส) สามารถช่วยยืดอายุการเก็บรักษาไข่ให้ยาวนานขึ้นได้

ชมรมเทคโนโลยีทางอาหารและชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

ดื่มแต่น้อย ดีต่อกระดูก


เครื่องดื่มแอลฮอล์มีผลเสียต่อหัวใจและนำไปสู่โรคมะเร็งได้หากมากเกินไป แต่การดื่มไม่เกินวันละ 2 แก้ว โดยเฉพาะไวน์และเบียร์จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผุ้สูงอายุได้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูกผู้สูงอายุได้ นักวิจัยจากมหาลัยทัฟท์สในบอสตันเปิดเผยว่า แอลกอฮอล์มีส่วนช่วยรักษาความหนาแน่นของมวลกระดูกในชายและหญิงสูงวัย แต่ไม่พบความเกี่ยวข้องใดในหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน โดยไวน์นั้นดีสำหรับผู้หญิง เพราะมีซิลิคอนที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงแก่กระดูก ทำให้กระดูกสันหลังและสะโพกแข็งแรงกว่าปกติ 5 – 8 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเบียร์ดีสำหรับผู้ชาย เพราะอุดมไปด้วยพอลิฟีนอลที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และอาจช่วยไม่ให้กระดูกผุได้ 3 – 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเหล้านั้นไม่ดีกับใครเลย

ไขมันปลาอาหารสมอง

มีงานวิจัยน่าสนใจจากสวีเดนกล่าวว่า วันรุ่นชายที่บริโภคปลาไม่ต่ำกว่าสัปดาห์ละครั้งจะมีความฉลาดทั้งทางสมองและอารมร์มากขึ้น

งานวิจัยชิ้นนี้ศึกษากับผู้ชายวัย 15 – 18 ปี จำนวน 5,000 คน พบว่าผู้ที่กินปลาเป็นประจำโดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า – 3 ในปริมาณสูง อย่างเช่น ปลาแซลมอนแมคเคอเรล หรือทูน่า จะมีพัฒนาการทางสมองดีกว่าคนที่ไม่ค่อยกินปลา โดยวัดจากคะแนนการทำข้อสอบ

ผู้วิจัยกล่าวว่า ช่วงวันรุ่นตอนปลายเป็นวัยที่สมองส่วนความจำ อารมณ์ และการเข้าสังคมมีการพัฒนาอย่างเต็มที่ สารอาหารที่จำเป็นต่อสมองอย่างโอเมก้า – 3 ในปลาจึงช่วยให้สมองเติบโตสมบูรณ์ และจะได้ผลดียิ่งขึ้นหากมารดาบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยเมก้า – 3 ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์

เคล็ดลับดับเมาค้าง

ผลลัพธ์จากการฉลองอาจทำให้หลายคนตื่นเช้า พร้อมกับอาการมึน เมาค้าง สมองไม่แจ่มใส จะทำอย่างไรให้เช้านั้นกลับมาสดชื่นพร้อมสู้งาน ลองทำตามเคล็ดลับต่อไปนี้

กินไข่ตุ๋นหรือซุปไก่ร้อนๆ จะมีกรดแอมีโนที่ชื่อว่าซิสเทอีน (Cysteine) ที่นอกจากจะช่วยบรรเทาหวัดและลดอาการระคายคอแล้ว ยังออกฤทธิ์ลดอาการเมาค้างได้อย่างซะงัดนัก หรือจะเป็นกล้วยหอมปั่นผสมน้ำผึ้งที่มีโพแทสเซียมและน้ำตาลฟรักโทส ช่วยให้สมองสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สร่างเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่อย่าเผลอใส่น้ำผึ่งมากเกินไปจนหวานจัด เพราะจะทำให้ง่วงนอนได้

หากไม่มีเวลาเตรียม 2 เมนูด้านบน จะลองใช้วิธีพื้นฐานอย่างการกินผลไม้รสเปรี้ยวก้ได้ผลดีเช่นกันแต่ท่างออกที่ดีอย่าปล่อยให้ตัวเองดื่มเพลินจนเกินไปจะดีกว่า

ที่มา : นิตยสาร Heath & Cuisine

น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันดีที่ไม่ธรรมดา

กระแสลดความอ้วนช่วงนี้กำลังได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลาย สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้อ้วนกันได้ง่ายคงเป็นเรื่องของการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภททอดที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าประกอบของน้ำมันอยู่สูง

การเลือกใช้น้ำมันในการประกอบอาหารจึงเป็นเรื่องที่ต้องการมีความพิถีพอถัน เพราะน้ำมันแต่ละชนิดให้ไปมันไม่เหมือนกัน หลายคนอาจมองว่าน้ำมันคงเหมือนกันหมดมีองค์ประกอบของไขมันที่ทำให้เกิดโรคอ้วนหรือเบาหวานได้ง่าย ความจริงแล้วน้ำมันมีองค์ประกอบแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ไขมันมีทั้งชนิดที่ดีและเลว การเลือกน้ำมันจึงมีความสำคัญ การเลือกใช้น้ำมันที่ดีจะช่วยยืดคุณภาพชีวิตให้กับคุณ

น้ำมันคุณภาพที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นน้ำมันมะกอกแห่งตะวันออกอย่าง “น้ำมันเมล็ดชา” นับเป็นน้ำมันดีที่ไม่ควนมองข้าม เพราะจากการศึกษาวิจัยของวิทยาศาสตร์อาหาร พบว่า เป็นน้ำมันที่มีสัดส่วนของกรดไขมันที่ดีต่างๆ ในปริมาณที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพและป้องกันโรคคือ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวในตำแหน่งเดียวในรูปของกรดโอเมก้า 9 สูงมากถึง 78 – 81 % มีกรดไขมันอิ่มตัวหลายตำแหน่ง คือโอเมก้า 6 ประมาณ 13 – 28 % และมีโอเมก้า 3 ในรูปของกรดแอลฟาไลโนเอลิก ประมาณ 1-3 % ซึ่งกรดไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้มีความสำคัญต่อการควบคุมความดัน การแข็งตัวของเส้นเลือดและการอักเสบ และช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดด้วย

นอกจากนี้ น้ำมันเมล็ดชายังมีคุณสมบัติพิเศษที่น่าสนใจ คือ มีจุดเดือดเป็นควันสูงถึง 252 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าน้ำมันมะกอกจุดเดือดเป็นควันที่สูงจะเกิดอนุมูลอิสระต่ำซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าน้ำมันที่มีจุดเดือดต่ำเป็นควันที่ต่ำ จึงเหมาะกับการใช้งานประกอบอาหารที่ใช้ความร้อนสูงมากๆ เช่น การทอด เพราะช่วยลดการเกิดอรุมูลอิสระในอาหาร

เมื่อเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันลองหันมาเลือกน้ำมันที่มีคุณค่าจากธรรมชาติก็ช่วยคุณได้รสชาติที่ดีควบคู่กันด้วย น้ำมันเมล็ดชาจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่รักสุขภาพอย่างแท้จริง

ตารางแสดงองค์ประกอบของกรดไขมันในน้ำมันพืชชนิดต่างๆ

ชนิดของน้ำมัน % กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว จุดเดือดเป็นควัน(องศาเซลเซียส)
น้ำมันเมล็ดชา 78 % 252
น้ำมันมะกอก 75 % 161
น้ำมันคาโนล่า 61 % 204
น้ำมันรำข้าว 45 % 250
น้ำมันข้าวโพด 29 % 231
น้ำมันถั่วเหลือง 23 % 231
น้ำมันเมล็ดฝ้าย 19 % 230
น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน 16 % 232

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Yoga Journal

เมล็ดงาและน้ำมันงา


มีหลักฐานทางโบราณคดีบ่งชี้ว่า มีการปลูกงามาตั้งแต่ยุตหรัปปันซึ่งเป็นหนึ่งอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในแถบลุ่มแม่น้ำสินุเมื่อราวสองพันปีก่อนคริสตกาล

ชาวฮินดูเชื่อว่าเมล็ดงาเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ และมหาศรีเทวีซึ่งเป็นชายาของพระวิษณุเป็นตัวแทนของคุณสมบัติของเมล็ดงา ด้วยเหตุผลนี้จึงถือกันว่าน้ำมันงาเป็นน้ำมันที่เป็นมงคลที่สุดรองจาก “ฆี” (ghee) หรือเนยไส และถูกใช้ในพิธีกรรมและการสวดต่างๆ

คัมภีร์อายุเวทกล่าวถึงเมล็ดงาว่า มีรสขม ฝาด หวาน เผ็ดร้อน ย่อยยาก ชุมชื้น มีคุณสมบัติร้อน บำรุงกำลัง บำรุงผม บำรุงน้ำนม ดีต่อผิวหนัง ทำให้ฟันแข็งแรง และในบรรดาเมล็ดงา 5 ชนิด ซึ่งได้แก่ งาดำ งาขาว งาแดง งาป่า และงาเมล็ดเล็ก งาดำจัดว่าเป็นเลิศที่สุด โดยนอกจากสรรพคุณที่กล่าวมาแล้ว งาดำ งาขาว งาแดง ง่าป่า และ งาเมล็ดเล็ก งาดำจัดว่าเป็นเลิศที่สุด โดยนอกจากสรรพคุณที่กล่าวแล้ว งาดำยังมีสรรพคุณบำรุงอสุจิอีกด้วย

อาจเป็นด้วยประโยชน์และสรรพคุณมากหลายของเมล็ดงา ทำให้มีการใช้งาเป็นส่วนผสมในอาหารและทำเป็นขนมหลากหลายชนิดในวัฒนธรรมต่างๆ เกือบทั่วโลก เช่น ตะวันออกกลาง ตะวันออกไกล เอเชียตะวันออก จีน ญี่ปุ่น รวมทั่งในอินเดียซึ่งนอกจากเป็นส่วนผสมในอาหารและทำเป็นขนมชนิดต่างๆ แล้ว ยังใช้ในพิธีกรรมสักการะบุชามาแต่โบราณอีกด้วย

สตรีแห่งบาบิลอนในยุคโบราณรับประทานหัลวา (halva) ซึ่งทำมาจากน้ำผึ้งและเมล็ดงาเพื่อให้อ่อนเยาว์และเพื่อความสวยงาม ในขณะที่ทหารโรมันบริโภคเพื่อบำรุงและเสริมสร้างพลัง

คัมภีร์การแพทย์ของชาวทมิฬกล่าวถึงน้ำมันงาว่าเป็น “น้ำมันที่เป็นเลิศ” โดยมีโศลกซึ่งมีความหมายว่า “ใช้เพื่อบำรุงสำหรับผู้ที่ผ่ายผอม และใช้ทาเพื่อลดความอ้วนสำหรับผู้ที่น้ำหนักเกิน”

คัมภีร์อายุรเวทแนะนำว่าการอมน้ำมันงา จะช่วยให้ฟัน เหงือก และขากรรไกรแข็งแรงบำรุงเสียงและขจัดรอยเหี่ยวย่นบนแก้ม โดยอมน้ำมันงาอุ่นๆ ไว้ในปากสักครู่ และกลั้วไปมาแรงๆ ก่อนจะบ้วนทิ้ง

ขอขอบคุณ ที่มา : นิตยสาร Yoga Journal

9 ขั้นตอน พลิกโฉมตู้เสื้อผ้าในคอนเซ็ปต์ “หยิบใช้ง่าย – ไมรก”


ทราบหรือไม่ว่า ความเป็นระเบียบของตู้เสื้อผ้าส่งผลต่อสภาวะจิตใจของคุณถ้าตู้เสื้อผ้ารกรุงรัก คุณจะคุณจะรู้สึกสับสน แต่ถ้าตู้เสื้อผ้าจัดเรียงอย่างดี คุณจะผ่อนคลายและมีความมั่นใจ

ปีใหม่นี้ สร้างความรู้สึกดีๆ ด้วยการจัดตู้เสื้อผ้าตาม 9 ขั้นตอนง่ายๆ แบบไม่เครียด – ไม่เปลือง นอกจากคุณจะได้ตู้เสื้อผ้าใหม่ที่น่าใช้สุดๆ ยังช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาในการรื้อหาเสื้อผ้าใส่ทุกวัน

1. คำนวณงบประมาณ

ไม่ต้องถึงกับจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อหาซื้อตู้เสื้อผ้าใหม่หรือสร้างห้องแต่งตัวเพราะหลายสิ่งที่เรากำลังแนะนำต่อไปนี้คุณสามารถใช้วิธี DIY (Do It Yourself) หรือไปเลือกซื้อในราคาที่เหมาะสมกับงบในกะเป๋า

2. วัดขนาดของตู้เสื้อผ้า

ขนาดของตู้เสื้อผ้าจะกำหนดว่าคุณควรมีเสื้อผ้ามากน้อยแค่ไหน เริ่มด้วยการนำเสื้อผ้าทั้งหลายออกจากตู้ แล้วแยกประเภทเสื้อ กางเกง กระโปง เดรส จากนั้นวัด ความยาว ความสูง และความกว้างของตู้จดขนาดที่วัดได้ไว้สำหรับการซื้อชั้นวางตะขอ และของใช้อื่นๆ

ความกว้างทุกๆ 1 ฟุตจะใส่กางเกงขายาวได้ 12 ตัว เสื้อเชิ้ต 15 ตัว หรือแจ๊คเก็ต 6 ตัว เมื่อคำนวณแล้วคุณก็พอจะรู้ว่า สามารถใส่เสื้อผ้ากลับเข้าไปได้จำนวนเท่าไหร่

3. ใช้ทุกตางรางนิ้วอย่างคุ้มค่า

อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ช่วยให้ของทุกชิ้นอยู่ในที่ที่ควรอยู่

ลิ้นชักเตี้ยๆ หรือราวแขวน เป็นการใช้พื้นที่ว่างที่เหลือจากการแขวนชุดสั่นๆ ให้คุ้มค่า

คุณสามารถเลือกพับผ้าเก็บไว้ในลิ้นชัก หรือแขวนกางเกงหรือกระโปรงสั้นที่ราวด้านล่าง

ชั้นแขวน สำหรับพับเก็บเสื้อยืดหรือผ้าที่ไม่ยับง่าย ช่วยประหยัดพื้นที่

ชั้นวางของ ในตู้เสื้อผ้าส่วนใหญ่มักมีที่วางผ้าขนหนูหรือของอื่นๆ

ช่องหรือกล่องเก็บกระเป๋า สำหรับเก็บกระเป๋าไม่ให้เสียทรง

ตะขอ ติดตะขอ ไว้ที่ผนังตู้หรือที่ผนังห้อง (เลือกมุมที่ติดแล้วห้องไม่ดูรก) สำหรับแขวนผ้าพันคอ เข็มขัด หรือแม้แต่สร้อยเส้นยาว

4. โละ!

จัดการแบ่งเสื้อผ้าออกเป็น 3 กองได้แก่ กองสำหรับเก็บไว้ใช้ บริจาค และทิ้งโยนเสื้อผ้าที่เก่า ขาดใส่กองเสื้อผ้าทิ้งเสื้อผ้าที่ล้าสมัย ใส่ไม่ได้ หรือไม่ชอบแล้ววางไว้ในกองบริจาคหรือนำไปขายต่อ ส่วนเสื้อผ้าที่คุณรัก ยังใส่ได้ เพิ่มซื้อมาได้ไม่นานและจะใส่ต่อไป เก็บเข้าตู้ได้

ถ้าตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวไหนควรอยู่กองไหน ลองเรียกเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเลือก

5. แปลงโฉมตัวเสื้อผ้าให้เป็นห้องเสื้อ

ถ้าโยนเสื้อผ้าเข้าตู้โดยไม่จัด เสื้อผ้าจะเสียทรงและมีรอบยับ การจัดตู้ให้สวยงามไม่เพียงทำให้เสื้อผ้าดูน่าใช้ แต่ยังทำให้เราเห็นชุดทุกชุดใส่ในตอนเช้า

ควรใช้ไม้แขวนเสื้อที่รักษาทรงเสื้อผ้าและจัดเสื้อผ้าตามประเภท จะให้ดีขึ้น ควรเป็นเรียงสีด้วย

6. เก็บของที่ไม่ได้ใช้ไว้นอกตู้

ของที่ยังไม่ใช้ช่วงนี้ เช่น เสื้อผ้าตามฤดูกาล ชุดออกงานพิเศษ ให้ใส่กล่องหรือถุงไว้ด้านนอก โดยเก็บอย่างดีเพื่อป้องกันความชื้น ฝุ่น และแมลง

7. ให้ความสว่างในตู้เสื้อผ้า

ตู้เสื้อผ้าที่ดีควรติดตั้งหลอดไฟ เพื่อให้เห็นเฉดสีของเสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน และยังอำนวยความสะดวกในการหาของอื่นๆ

8. ตั้งกฎใหม่ในการช็อปปิ้ง

เมื่อรู้แล้วว่าตู้เสื้อผ้าของคุณควรมีของประมาณกี่ชิ้นทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อเสื้อใหม่สักตัว ให้คิดไว้เลยว่า ต้องมีเสื้อผ้าเดิมสักหนึ่งชิ้นที่ถูกทิ้งไปเพื่อไม่ให้ตู้ของคุณกลับไปรกอีกหรือจะใช้วิธีโละเสื้อผ้าที่ไม่ใส่พร้อมกับซื้อชุดใหม่ๆ สำหรับฤดูกาลที่จะมาถึงในคราวเดียวก็ได้

9. จัดรองเท้าให้มองเห็นได้
ไหนๆก็จัดตู้เสื้อผ้าแล้วควรถือโอกาสจัดตู้รองเท้าไปด้วยเลย จำนวนรองเท้าที่จะเก็บไว้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในตู้ ควรจัดรองเท้าให้หยิบง่ายใช้ง่าย อาจเรียงเป็นคู่โดยแยกประเภท เช่น รองเท้าส้นสูง รองเท้าผ้าใบ รองเท้าลำลอง ฯลฯ หรือใช้กล่องรองเท้าแบบใส เพื่อให้เห็นรองเท้าคู่ที่ต้องการได้ชัด

ที่มา : นิตยสาร SHAPE

มารู้จักประโยชน์ต่างๆ ของไข่กัน


ไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพที่หลากคนมองข้ามไป เช่น ไข่มีประโยชน์ต่อสายตา สารแครโรตินอยด์ โดยพาะ ลูทีน และ ซีแวนทิน ซึ่งจำเป็นต่อการมองเห็น คนที่กินไข่วันละฟอง จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกน้อยกว่า โปรตีนจากไขมีคุณภาพสูง ไข่มีกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วนทุกตัว จึงเป็นโปรตีนที่ดี ไข่เป็นแหล่งที่ดีของโคลีน โคลีนเป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมการทำงานของระบบสนอง ระบบประสาทและระบบหัวใจ การกินไข่อาจช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตัน โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ

ไข่แดงมีกรดไขมันจำเป็น แม้ว่าไข่แดงจะมีคอเลสเตอรอลมาก แต่ในไข่แดงจะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 ดีเอชเอ (ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมองและเนื้อเยื่อตา) และกรดโอเมก้า 6 กรดอะราคิโดนิก (ซึ่งจำเป็นสำหรับผิวหนัง เส้นผม ความต้องการทางเพศ ระบบสืบพันธุ์ การเจริญเติบโต และการตอบสนองต่อบาดแผล เด็ก หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร คนที่มีปัญหาเรื่องอัลไซเมอร์) และไข่แดงเป็นแหล่งอาหาร วิตามิน ดี ตามธรรมชาติ อาหารอื่นหลายชนิดที่มีวิตามิน ดี ไม่ได้มาจากธรรมชาติ เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง

โครงการเผยแพร่ความรู้ผ่านสื่อมวลชน สมาคมคหเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย

ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

การแก้นอนกรน


เหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่การนอนกรนก็กลายเป็นปัญหาใหญ่ให้คู่สามีภรรยาทะเลาะกันบ้านแตกมาแล้ว เพราะเวลาพักผ่อนกลับไม่ได้หลับอย่างเต็มที่ ด้วยเสียงครืนคราดของคนข้างๆ ดังสนั่นอยู่ข้างรูหู ถ้าสองเสียงประสานกันก็ไม่เป็นไรแต่ถ้าดังเดียวขอให้รีบแก้ไขทันที ซึ่งวิธีนี้คุณเคยผ่านมาตั้งแต่เกิดแล้ว นั่นคือการอมจุกยางของเด็กทารกไว้ในปาก วิธีนี้จะช่วยให้ลิ้นของคุณอยู่นิ่ง ทำให้เนื้อเยื่อเพดานไม่กระเทือนสั่นไหว จึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากด้วยอาจจะเขินไปหน่อย แต่ลองดูเถอะ เพื่อสุขภาพของคนนอนข้างๆคุณ

ที่มา : นิตยสาร OHO

กระเทียมช่วยหนุ่มๆ หน้าหนาว


คุณหนุ่มๆ ต้องเคยเจอปัญหากับการโกนหนวดแล้วเป็นแผลกันแน่ๆ เลย เรามีเทคนิคนำเข้าจากประเทศรัสเซียพื้นที่ที่มีอากาศหนาวสุดโหด เวลาพวกหนุ่มๆ รัสเซียได้แผลจากการโกนหนวดในตอนเช้า และอยากหายเร็วๆ เค้าจะเอากลีบกระเทียมมาทาถูบริเวณแผลเบาๆ เพื่อทำความสะอาดเพราะกระเทียมมีสารแอนตี้แบคทีเรีย ช่วยลดภาวะผื่นแดงและระคายเคือง อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ชายไทยไม่รู้ ลองทดสอบดูแล้วกัน ถึงจะไม่หนาวเท่ารัสเซีย แต่รับลองว่าได้ผล ลบรอยแผลบนใบหน้าให้กลับมาเนียนได้ทันใจแน่ๆ

ที่มา : นิตยาสาร OHO

พริกไทยทำไมต้องจาม ?



พริกไทยกับเสียงจามเป็นเรื่องคู่กันเพราะในพริกไทยมีสารเคมีชื่อ “ไพเพอรีน” (piperine) เป็นตัวสร้างความระคายเคืองให้เส้นประสาทในช่องจมูกและปาก พอรู้สึกระคายเคืองร่างกายเราก็จะพลักดันเจ้าสารแปลกปลองนี้ออกไปด้วยการจามสนั่นหวั่นไหว

แต่ไช่ว่าไพเพอรีนจะเกิดมาเพื่อสร้างเสียงจามเพียงอย่างเดียวเจ้าสารตัวนี้มีดีตรงที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองป้องกันอัสไซเมอร์ได้ฉะนั้นคนที่กำลังคิดจะเลิกกินพริกไทยก็รีบๆ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทัน

ที่มา : นิตยสาร Spicy

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

สารพัดวิธี..หนีความอ้วน


★ 1. ห้ามดูทีวีเกิน 2 ชั่วโมงต่อวัน เพราะจะทำให้ร่างกายต้องอยู่เฉยๆ
ควรทำกิจกรรมอื่นที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายแทน

★ 2. กินอาหารที่มีเส้นใย 4 กรัมทุกมื้อ
อาหารที่มีเส้นใยจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลอรีช้าลง ทำให้รู้สึกอิ่มท้องและไม่หิวระหว่างมื้อ

★ 3. ชั่งน้ำหนักทุกวัน วิธีนี้จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้ 12 ปอนด์ใน 2 ปี (ประมาณ 6 กิโลกรัม)
แต่ถ้าชั่งสัปดาห์ละครั้งจะลดได้ครึ่งเดียวคือ 6 ปอนด์ (ใน2 ปี)
เหตุผลก็เพราะการชั่งน้ำหนักจะทำให้เรารู้ว่า ตอนนี้น้ำหนักขึ้นหรือลงไปขนาดไหน
จะได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินได้ทัน

★ 4. นอนให้เพียงพอจำนวนชั่วโมงที่เหมาะสม คือ 7 ชั่วโมงต่อคืน
คนที่นอนไม่พอจะหิวเร็วและบ่อยกว่าปกติ เนื่องจากระดับฮอร์โมนในการควบคุมความหิวลดต่ำลง
ทำให้ต้องกินบ่อยขึ้น โอกาสที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นก็เลยมีสูงกว่าคนที่พักผ่อนตามปกติ

★ 5. ไม่ทำงานเกิน 9 ชั่วโมง เพราะการนั่งทำงานเป็นเวลานาน นอกจากทำให้ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหวแล้ว
ยังมีผลต่อความเครียดซึ่งจะส่งผล กระทบโดยตรงต่อฮอร์โมนในร่างกาย

★ 6. หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแป้งขัดขาว น้ำตาลฟอกขาว
เพราะอาหารพวกนี้ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ซึ่งร่างกายก็จะดูดซึมไว้ในปริมาณมาก แล้วความอ้วนจะไปไหนเสีย


ที่มา : http://women.thaiza.com
ภาพจาก : http://www.time.com

อาหารแบบนี้...ช่วยลดความอ้วน



วิธีลดไขมันในอาหาร เพื่อลดความอ้วนได้แก่...

ลดอาหารทอด
น้ำมันในอาหารทอดจะซึมเข้าไปในเนื้ออาหาร ทำให้ดูมีไขมันต่ำกว่าจริง
คนที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วนไม่ควรกินอาหารทอดเกินวันละ 2-3 ช้อนกินข้าว หรือไม่กินเลยยิ่งดี

กินอาหารประเภทต้ม นึ่ง ผักน้ำพริก และสลัดแทน
ถ้ากินสลัดควรเลือกน้ำสลัดที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ ผักน้ำพริก (ถ้าไม่มีพืชหัว เช่น ฟักทอง ถั่ว ฯลฯ)
ให้กำลังงานประมาณ 20 แคลอรี (น้ำพริก 2 ช้อนกินข้าว) เท่านั้น
การกินข้าวกล้องกับผักน้ำพริกเป็นสูตรลดความอ้วนง่ายๆ ที่อิ่มนาน และมีคุณค่าทางอาหารสูง

ลดหรือเลี่ยงก๋วยเตี๋ยวแห้ง
ก๋วยเตี๋ยวแห้ง มักจะต้องคลุกเส้นกับน้ำมันหมู เพื่อให้คล่องคอ (เวลากลืน)
การกินก๋วยเตี๋ยวแห้งมีส่วนทำให้ได้รับน้ำมันจากสัตว์ ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงเพิ่มขึ้นมาก
ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวน้ำแทนจะลดกำลังงาน(แคลอรี)ไปได้มาก เนื่องจากก๋วยเตี๋ยวน้ำใช้น้ำหล่อลื่นแทนน้ำมันหมู

ลดหรือเลี่ยงก๋วยเตี๋ยวผัด เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ฯลฯ
การผัดหรือทอดทำให้น้ำมันซึมเข้าไปภายใน กลายเป็น "น้ำมันล่องหน" และเสี่ยงต่อการกินมากเกิน

ลดหรือเลี่ยงแกงกะทิ กะทิมีไขมันมะพร้าว ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก

งดนมไขมันเต็มส่วน (whole milk)
คนที่จะลดน้ำหนักควรงดนมไขมันเต็มส่วน ดื่มนมไม่มีไขมัน (nonfat) หรือนมไขมันต่ำ (low fat) แทน

ไม่กินเมล็ดพืช เช่น ทานตะวัน ฯลฯ มากเกินวันละ 1 กำมือเล็ก
หรือที่ดีกว่านั้นคือ ไม่เกินสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง


วิธีเพิ่มอาหารกำลังงานต่ำ เพื่อลดความอ้วนได้แก่

กินผักแบบ "ผักครึ่งหนึ่ง-อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง"
หรือเพิ่มผักเป็น 3 ใน 4 ของอาหารทั้งหมด เพื่อให้ได้แร่ธาตุ วิตะมินเพิ่มขึ้น อิ่มมากขึ้น หิวน้อยลง

กินข้าวกล้อง หรือข้าวโอ๊ตแทนข้าวขาว
กินขนมปังโฮลวีท(สีรำ)แทนขนมปังขาว และไม่กินแป้งมากเกิน
ถ้าไม่ชอบข้าวกล้องจริงๆ อาจใช้จมูกข้าวสาลี (wheat germ)
หรือรำข้าวเติมไปในข้าวขาว เพื่อเพิ่มเส้นใย(ไฟเบอร์)

นำถั่วเหลือง(คุณค่าโปรตีนสูงมาก) หรือถั่วแดงหลวง(เส้นใยหรือไฟเบอร์สูงมาก)
มาแช่น้ำ ต้มเก็บใส่ตู้เย็นไว้ นำมาเสริมโปรตีน และลดโปรตีนจากเนื้อสัตว์อย่างน้อย 50%
เช่น ซื้อกับข้าวมา ตักเนื้อออก ใส่ถั่วไปแทนอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง ฯลฯ

กินผลไม้ที่ไม่หวานจัด เช่น ฝรั่ง ส้ม ฯลฯ ไม่มากเกิน
และงดหรือลดผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ฯลฯ

กินน้ำผักได้ น้ำผักที่ช่วยให้อิ่มได้นานคือ น้ำมะเขือเทศ
น้ำผักหัว (root vegetables) เช่น ฟักทอง ฯลฯ มีน้ำตาลและแป้งค่อนข้างมาก พวกนี้ควรกินแต่น้อย
กินเนื้อผักจะได้เส้นใย(ไฟเบอร์) ครบส่วน มากกว่าน้ำผัก

ไม่ควรกินน้ำผลไม้มากเกิน เนื่องจากน้ำผลไม้มีน้ำตาลสูงมาก

งด-ลด-ละ-เลิกขนม น้ำตาล น้ำหวาน
การใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาล หรือการดื่มเครื่องดื่มที่ใช้น้ำตาลเทียมมีส่วนช่วยลดกำลังงาน
หรือแคลอรีจากเครื่องดื่มลงได้ แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไป

ถ้าดื่มกาแฟ... กาแฟชงเองมีแคลอรีต่ำกว่ากาแฟสด หรือกาแฟที่ร้านค้าชงมา

งด-ลด-ละ-เลิกเหล้า เบียร์ ไวน์ (แอลกอฮอล์)
เนื่องจากแอลกอฮอล์ให้กำลังงานสูง มีน้ำตาลปนอยู่ และทำให้ขาดสติ... กินมากไป เลยอ้วนเลย


ข้อมูลจาก บ้านสุขภาพ
ที่มา : http://women.mthai.com

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

10 อาหารสุดอันตรายไม่จำเป็นต้องกิน



เดี๋ยวนี้คนไทยนิยมบริโภคฟาสต์ฟู๊ดมากยิ่งขึ้น เพราะอร่อยและทันอกทันใจ แต่หารู้ไม่ว่าการทานอาหารแบบนั้นบ่อยๆ จะทำให้เราตายผ่อนส่งไปทีละนิดๆๆ และนี่คืออาหารที่ เราแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก้อย่ากินมีนเลย

จากข้อมูลของ “Team Comtent” สำนักงานออกทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสา.) พบว่ามี “เมนูโปรด” ของใครหลายคนถูกจัดเป็น “อาหารอันตราย” อย่างน้อยๆ 10 ชนิดได้แก่…

1. แฮมเบอร์เกอร์ จัดเป็นอาหารประเภทที่ “มีความเสี่ยงสูง” เพราะเวลาที่สูญเสียไปในระหว่างรอกระบวนการนำ “เนื้อ” มาใช้ปรุง ทำให้มี “แบททีเรีย” เกิดขึ้นได้สูง ทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ “สารเคมีสีแดง” มาช่วยกำจัดเนื้อที่กำลังจะเน่าเสียทำให้เนื้อแดงเปลี่ยนเป็นเขียว

นอกจากนี้แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่ “สารปรุงรส” (MSG=Monosodium Glutamate ) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ โดย “MSG” เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้นด้วย

2. ฮอทด็อก เป็นอีก “เมนูอันตราย” เพราะมีกระบวนการผลิตคล้ายแฮมเบอร์เกอร์ และ “ฮอทด็อก” ทั้งหมดยังใส่ “สารไนไตรท์” เพื่อช่วยให้เนื้อยึดตัวและช่วยเติมไส้กรอกให้เต็มโดย “สารไนไตรท์” เป็นสารที่ทำให้เกิด “ดรคมะเร็ง” ในกระเพราะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือดเนื้องอกในสมอง และมะเร็งในกระเพราะปัสสาวะนอกจากนี้ “ถุงหลอด” ที่ใช้บรรจุฮอทด็อกก็ทำจาก “คอลลาเจนสังเคราะห์” ที่เป็นสารก่อให้เกิด “โรคมะเร็ง” ได้สูง มีไขมันที่เป็นสารประกอบไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% เมื่อนำไปปิ้งย่างมันจะทำให้มี “สารพิษร้ายแรง” ที่เรียกว่า “อะคริลิไมค์” (Acrylimides) ออกมาซึ่งรู้จักดีว่าเป็นสารก่อมะเร็งและ “ทำลายประสาท”

3. เฟร้นช์ฟราย – มันฝลั่งทอด เป็นอาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง” โดยการทอด “เฟร้นช์ฟราย” ใช้อุณหภูมิสูงทำให้มี “สารอะคริลิไมด์” ออกมา นอกจากนี้ “น้ำมัน” ที่ใช้ทอดมันฝลั่งแต่ละครั้งจะเกิดการ “ออกซิไดซ์” ในมันฝลั่งยังมี “ดรรชนีกลีซิมิค” (Glycemic) อยู่สูงมาก..นั่นหมายถึงมันเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำตาลภายในร่างกายได้เร็วมาก

4. คุกกี้ ที่เด่นชัดมากคือสักส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว ซึ่งอาหารในประเภทที่มีน้ำตาลปริมาณสูงเช่นนี้ จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเหิกริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5. พิซซ่า “พิซซ่า” ประกอบด้วยอาหารที่มาจากการ “ตัดแต่งพันธุกรรม” 5 ชนิดคือ…

- เนยแท้ (Cheese) เพียง 10 % เท่านั้น ซึ่งไม่ควรเรียกว่าเนยแท้ได้เลย..

- ที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้วแต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่เคยมีอยู่เข้าไปใหม่…

- ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารคล้ายมะเขือเทศที่สร้าง “ยาฆ่าแมลง” ของมันขึ้นมาได้เองในร่างกายของท่าน…

- แป้งสาลี ชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุกรรม

- มีน้ำมันฝ้าย ประกอบอยู่ โดยฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้ ในฝ่ายเมล็ดจะเป็นตัวดูดเอาสารพิษต่างๆ เอาไว้ได้มากที่สุด

ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงสาธาธารณสุขต่างไม่ไห้ความร่วมมือซึ่งกันและกันที่จะรับรองว่ามันปลอดภัยต่อการบริโภคได้หรือไม่ มันไม่ได้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่มันเป็น “นำมันไฮโดรจีเนต” และมีอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ “ผิวหน้าแป้งพิซซ่า” ที่อบปิ้งในอุณหภูมิ อาจมี “สารอะคริลิไมค์” เกิดขึ้นด้วยขณะที่การเพิ่มหน้าพิซซ่า “เพ็พเปอโรนิ” หรือ เพิ่มหน้าไส้กรอกทำให้มีความเสี่ยงสูงจาก “ไนไตรท์” สารกันบูดและสารเคมีอื่นๆ รวมทั้งไขมันอิ่มตัวที่มีการเดิมเข้าไปจากโรงงานอีกด้วย

6. น้ำมันอัดลม สารตัวสำคัญที่มีอยู่ใน “น้ำอัดลม” คือ “กรดกำมะถัน” (Phosphoric acid) ซึ่งมีความเป็นกรดสูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วัน กรดที่สะสมอยู่ในร่างกายทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ และ “น้ำโซดา” ที่เป็นส่วนประกอบอีกตัวหนึ่งของน้ำอัดลมจะเปิดตัวซะล้างแคลเซียมออกจากกระดูก จนทำให้เกิด “โรคกระดูกพรุน” นอกจากนี้ในน้ำอัดลม 1 กระป่องจะมี “น้ำตาลที่ไม่ให้พลังงาน” อยู่ 12 ช้อนชา ในน้ำอัดลมที่ช่วยลดน้ำหนักตัว หรือ Dict soda ที่ใช้ “น้ำตาลเทียมสังเคราะห์” (Artificial sweetener) เพิ่มความหวานจะทำให้ร่างกายกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำตาลสงเคราะห์เหล่านี้มีความหวานมากกว่าน้ำตาลธรรมดามาก ขนาดที่ “สี” ที่ใช้เติมในน้ำอัดลมยังเป็น “สารก่อมะเร็ง” อีกด้วย

7. ชิ้นไก่ทอด – เนื้อนุ่มไร้กระดูก เป็นเมนูที่ทำมาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ใช้แล้ว การรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไปจะให้พลังงาน 340 แคลลอรี 50% เป็นไขมัน มีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก ซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงมีการเติมสารปรุงรส “MSG” ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้นอกจากนี้ “นัคเก็ตชิคเก้น” บางอันจะมี “สารอลูมิเนียม” ซึ่งเป็นอันตรายต่อสมองและเป็นอันตรายต่อการเผาพลาญของร่างกายด้วย

8. ไอศกรีม มีไขมันสูงมากเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำบริโภคต่อวัน มัคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีน้ำตาลอยู่มากทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น เต็มไปด้วยไขมันไฮโดรจีเนตและไขมันที่แปรเปลี่ยน (Transfat) ไปจากธรรมชาติ และยังช่วยเพิ่มพูนโคเลสเตอรอล ทำให้สันเลือดแดงอุดตัน ทำให้มีสารอนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นสาเหตุของมะเร็ง

9. โดนัท โดนเฉลี่ยแล้วจะให้พลังงาน 300 แคลอรี่ โดยในโดนัท 1 ชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50 % ของที่แนะนำให้บริโภคต่อวัน มีเกลือโซเดียมสูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ นอกจากนี้โดนัทยังทอดในน้ำที่มีอุณหภูมิที่สูง ซึ่งน้ำมันประเภทนี้จะทำให้มีกลิ่นหืนและมีสารอนุมูลอิสระเกิดขึ้น ทำให้เกิดสารพิษ และทำให้ร่างกายเผาพลาญช้าลง เป็นการคุกคามต่อสุขภาพได้ และยังเป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่น

10. อาหารขบเคี้ยวยามว่าง ในปัจจุบันมีการบริโภค “โฟเตโต้ซิพ”กันมาก โดยน้ำมันที่ใช้ในการทอดโปเตโต้ซิพในแต่ละครั้งจะเกิดการออกซิไดร์ (Acrylimides) ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายระบบประสาทออกมา นากจากนี้การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ถุงอาจได้รับสารอะคริลิไมด์สูงมากกว่า 500 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับอัตราสูงสุดที่อนุญาตให้มีในน้ำดื่มทั่วไปๆได้ การรับประทานโปเตโต้ชิพ 1 ชิ้น อาจได้รับสารอะคริไมค์เท่ากับอัตตราที่มีอยู่ในน้ำดื่ม 1 แก้ว

ขอของคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy

5 เรื่องควรจำก่อนกินโยเกิร์ต



โยเกิร์ตเจ้าแห่งอาหารสุขภาพ แต่คนที่กินโยเกิร์ตอาจจะไม่ได้สุขภาพดีๆ กลับไป ถ้าไม่ยอมจำเทคนิคการเลือกโยเกิร์ตต่อไปนี้

1. ซื้อเฉพาะโยเกิร์ตชนิดที่น้ำตาลต่ำ ไขมันต่ำ ไม่อย่างนั้นคุณจะได้โยเกิร์ตที่ใส่น้ำตาลจนหวานจัด เลยกลายเป็นว่าแทนที่จะได้สุขภาพดี คุณกลับอ้วนเสียนี่
2. กินโยเกิร์ตพร้อมอาหารที่มีไขมันเล็กน้อย เพราะเวลาร่างกายเราจะดูดซึมวิตามินสำคัญๆ โดยเฉพาะวิตามินดี จำเป็นต้องมีไขมันมาช่วยด้วย กระบวนการถึงจะทำงานเต็มที่
3.เลือกซื้อจากร้านที่มีการขนส่งและแช่เย็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นโยเกิร์ตอาจจะถูกอากาศร้อนๆ ทำให้บูดก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงวันหมดอายุ
4.ก่อนจะซื้ออย่าลืมอ่านฉลากด้วยว่าถึงวันหมดอายุหรือยัง
5.ถึงโยเกิร์ตจะมีแคลอรีต่ำ แต่ก็ไม่ไช่ว่าจะไม่มีเสียเลย มื้อไหนกินโยเกิร์ต คุณจึงต้องลดข้าว แป้ง น้ำตาลลงนิดหน่อย ถ้ากินทั้งข้าวทั้งโยเกิร์ต ยังไงก็ต้องอ้วนอยู่ดี
Tip : หลังจากกินโยเกิร์ตแล้ว สิ่งที่คนรักษาสุขภาพควรทำความรู้จักไปด้วยก็ด้วย
- ทานอาหารที่มีวิตามินดี เช่นนมถั่วเหลือง ปลาตัวเล็กๆ ที่เคี้ยวได้ทั้งตัวตังก้าง เดินเล่นรับแสงแดดตอนเช้าและเย็น เพื่อเสริมให้กระดูกแข็งแรง

- ออกกำลังกายช้าสลับเร็วเพื่อไม่ให้แคลอรีจากอาหารที่กินเข้าไปเปลี่ยนเป็นไขมัน

ขอของคุณ ที่มา : นิตยสาร Spicy