วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

ทานอาหารไม่ตรงเวลา..เน้นมื้อเย็น



ระวัง!!เป็น ‘โรคกรดไหลย้อน’

ใครที่มีพฤติกรรมระคายเคืองบริเวณลำคอตลอดเวลา หรือมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือหลังอาหารมื้อหลักมักจะมีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียน อาการเหล่านี้มักเป็นลางบอกเหตุของการเกิดโรคกรดไหลย้อน ??

พญ.พรรณนภา ศรีนิลทา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน หู คอ จมูก โรงพยาบาลปิยะเวท อธิบายถึงลักษณะของโรคกรดไหลย้อนให้ฟังว่า คนไข้มักจะมาด้วยเรื่องอาการของคอและกล่องเสียงเป็นส่วนใหญ่ เช่น เสียงแหบ บางคนมาด้วยอาการกระแอมตลอดเวลา เช้า กลางวัน เย็น เหมือนมีอะไรติดอยู่ในคอ โดยเฉพาะในช่วงตอนเช้า เนื่องจากเวลานอน บางรายพูด ๆ ไปเสียงก็หายไป หรือเสียงแห้งไปเลย รวมทั้งรู้สึกว่ามีอะไรร้อน ๆ อยู่ในช่องคอ จุกแน่นบริเวณหน้าอก รู้สึกเหมือนว่าในลำคอมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ เมื่อกลืนอาหารเหมือนมีอะไรมาติดอยู่ในคอ กลืนอาหารลำบาก มีอาการปวดแสบปวดร้อนในหน้าอก โดยอาการเหล่านี้ผู้ป่วยมักกังวลเพราะไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร หาที่มาของอาการไม่ได้ บางคนกังวลกลัวว่าตนเองจะเป็นมะเร็ง ก็จะมาหาหมอ

เมื่อมาหาหมอ หมอ จะตรวจโดยดูในส่วนของคอ โดยมีอุปกรณ์พิเศษ ไม่ใช่แค่เอาไม้กดลิ้นธรรมดา แต่จะใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นแท่งเหล็กที่ปลายเป็นกระจกเพื่อสะท้อนรูปร่างของกล่องเสียงให้หมอได้เห็น หากเป็นโรคกรดไหลย้อนลงกล่องเสียง จะพบว่า บริเวณกล่องเสียงส่วนหลังจะบวมแดง หรือบางรายอาจลามไปยังส่วนของเส้นเสียงด้วย คนไข้จึงมาด้วยอาการเสียงแหบ

“ส่วนอาการบวมของกล่องเสียงส่วนหลังนั้น ต้องนึกภาพว่าเรามีท่อพีวีซีอยู่ 2 ท่อ นำมาวางเป็นท่อข้างหน้ากับท่อข้างหลัง โดยท่อข้างหน้า คือ อวัยวะที่เรียกว่า กล่องเสียง ที่ต่อลงไปยังส่วนของปอด และหลอดลม ส่วนท่อด้านหลัง คือ อวัยวะที่เรียกว่า หลอดอาหาร ที่ต่อไปยังส่วนของกระเพาะอาหาร เมื่อมีภาวะที่เรียกว่า กรดไหลย้อน ที่มีสาเหตุมาจากการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น อาหารจานด่วนทั้งหลาย ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมทั้งมีพฤติกรรมชอบกินอาหารเย็นหนัก ๆ แล้วนอนเลย อาหารจึงยังตกค้างอยู่ในกระเพาะ ร่างกาย ก็ต้องหลั่งกรดออกมาย่อยอาหารที่ยังตกค้างเหล่านั้น ทำให้กรดในกระเพาะไหลย้อนขึ้นมาที่ลำคอ เกิดอาการแสบระคายเคืองขึ้นมาบนคอในส่วนของกล่องเสียงด้านหน้าได้ ซึ่งปกติ กล่องเสียงของคนเรานั้น เนื้อเยื่อไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อให้ทนกับกรด จึงเกิดอาการบวม นั่นคือ อาการที่ทำให้คนไข้รู้สึกเจ็บคอเหมือนมีอะไรอยู่ในคอ รวมทั้งเมื่อเนื้อเยื่อมีอาการบวมแดง ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คือ จะมีการผลิตคล้ายเมือกออกมา ซึ่งนี่เองคือสาเหตุที่ว่า ทำไมคนไข้ถึงรู้สึกเหมือนมีเสมหะอยู่ในลำคอ มีอาการกระแอมตลอดเวลา”

การเกิดของโรคนี้ ต้องแก้ที่สาเหตุในส่วนของการปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เพื่อจัดการให้มีกรดไหลย้อนขึ้นหลอดอาหารน้อยที่สุด เริ่มจากการทานอาหารต้องทานให้ตรงเวลา และไม่ทานอาหารมากหรืออิ่มจนเกินไปในแต่ละมื้อ

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง และทานอาหารจำพวกผักและผลไม้ที่มีใยอาหารให้มากขึ้น ในส่วนของ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ควรงด แล้วเปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ เมื่อทานอาหารเสร็จให้นั่งหรือทำอะไรก่อนอย่าเพิ่งนอนทันที โดยใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้อาหารได้มีการย่อยแล้วค่อยเข้านอน

ส่วนใครที่มีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐานมาก ๆ ควรหาทางลดน้ำหนัก เนื่องจากไขมันในช่องท้อง และไขมันรอบพุงต่างก็มีส่วนเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้กรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ควรหมั่นหาเวลาว่างออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งควบคุมเรื่องอาหารการกิน

หากเป็นโรคนี้แล้ว ต้องใช้เวลาในการรักษา นอกจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การรับประทานอาหารแล้ว ยังต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอ โดยจะเป็น กลุ่มยาลดกรด รวมทั้ง กลุ่มยาที่ช่วยทำให้มีการบีบตัวของกระเพาะอาหาร หลอดอาหาร และลำไส้ ให้พอเหมาะมากขึ้น อีกกลุ่มหนึ่งจะเป็น กลุ่มยาที่ช่วยป้องกันไม่ให้กรดไหลขึ้นมาในส่วนของกล่องเสียง ซึ่งกลุ่มยา 2 กลุ่มหลังจะเป็นยาที่ช่วยเคลือบไม่ให้มีกรดขึ้นมา ช่วยให้การทำงานของลำไส้ดีขึ้น แต่กลุ่มยาที่สำคัญ คือ ยาลดกรด เพื่อไม่ให้คนไข้มีกรดมาก ซึ่งจะต้องทานเป็นระยะเวลานาน โดยทานก่อนอาหารเช้า เย็น อย่างน้อย 3 เดือน อาการจึงจะดีขึ้น บางคนต้องทานเป็นปี

“ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับคนไข้ในการดูแลตนเองด้วย ถ้าคนไข้มาหาหมอได้ยากลับไปทาน แต่ยังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม ไม่ยอมเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินชีวิตเสียใหม่ รักษาอย่างไรก็คงไม่หาย คงต้องพึ่งพายาตลอดไป”

การรักษาบางรายอาจต้องรักษาร่วมกับหมอทางเดินอาหารในบางกรณี เช่น ทานยาแล้วไม่หายทั้ง ๆ ที่ปฏิบัติตนดีแล้ว 3 เดือน ไม่รู้สึกดีขึ้น อาจจะต้องมีการส่องกล้องว่า มีภาวะอย่างอื่นร่วมด้วยหรือไม่ เช่น มีแผลในกระเพาะอาหาร มีการอักเสบของกระเพาะอาหารร่วมด้วยหรือไม่

กรดไหลย้อน แม้เป็นโรคที่ไม่น่ากลัว แต่เมื่อเป็นแล้วจะทำให้รู้สึกรำคาญ เสียบุคลิก รู้สึกกังวลกับอาการ ที่เป็นอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องดูแลตนเอง จัดระเบียบชีวิตประจำวันให้ดี จะได้ไม่เป็นโรคนี้ เพราะเป็นแล้วต้องใช้เวลาในการรักษานานนั่นเอง.

สรรหามาบอก

- ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลปิยะเวท ขอเชิญผู้สนใจร่วมงานสัมมนาในหัวข้อเรื่อง “โรคเส้นประสาทเสื่อมจากเบาหวาน” โดยนายแพทย์ดิตถพงษ์ บุญอำพล ใน วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 08.00-12.00 น. ณ ห้องรสสุคนธ์ ชั้น 16 โรงพยาบาลปิยะเวท โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สนใจสอบถาม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คอลเซ็นเตอร์ 0-2625-6555

- สโมสรนักศึกษาคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ชวนตรวจสุขภาพฟันฟรี ในงาน “ฟันสวยยิ้มใสครั้งที่ 20” ใน วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา 11.00-18.00 น. ณ บริเวณชั้น 2 หน้าลิฟต์แก้ว ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่ แอร์พอร์ต โดยภายในงานได้มีการให้บริการตรวจสุขภาพในช่องปาก, การประกวดคำขวัญและเรียงความเกี่ยวกับสุขภาพช่องปาก, การประกวดหนูน้อยฟันสวย ครั้งที่ 20 ฯลฯ สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0-2667-5555 ต่อ 4114, 08-1531-8787

- ชมรมถุงลมโป่งพอง ร่วมกับมูลนิธิโรคหืดแห่งประเทศไทย ขอเชิญร่วมงาน “วันถุงลมโป่งพองโลก” พบกับนิทรรศการ และการอภิปรายให้ความรู้เรื่อง “ไข้หวัด 2009 ในผู้ป่วยถุงลมโป่งพอง” และ “โรคถุงลมโป่งพองกับพิษภัยบุหรี่” พร้อมให้บริการตรวจสมรรถภาพการทำงานของปอด วัดปริมาณไขมันและน้ำตาลใต้ผิวหนัง วัดอายุปอด ใน วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2552 เวลา 12.00-16.00 น. ณ ห้องคริสตัล ชั้น 2 โรงแรมตวันนารามาดา ถนนสุรวงศ์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ผู้สนใจลงทะเบียนร่วมงาน โทร.0-2617-0649, 08-6535-0872.

เคล็ดลับสุขภาพดี

‘มะเฟือง’ มากประโยชน์…ช่วยลดอาการนอนไม่หลับ

“มะเฟือง” เป็นผลไม้ที่ชาวต่างชาติเรียกกันว่า “สตาร์ฟรุต” (Star Fruit) เพราะเมื่อหั่นผลตามขวางแล้วจะได้ชิ้นมะเฟืองที่มีรูปร่างเหมือนดาวห้าแฉก โดยรสชาติของมะเฟืองนั้นจะออกรสเปรี้ยวอมหวานคล้ายลูกผลัม สับปะรดและมะนาวผสมกัน ซึ่งท่านทราบหรือไม่ว่า มะเฟืองนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายของเรามากมายทีเดียว

มะเฟืองมีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชีย เจริญเติบโตได้ดีในเขตที่มีความชื้นสูงแต่ในที่แห้งแล้งก็สามารถเจริญเติบโตได้ นิยมปลูกในสวนหลังบ้านปะปนกับพืชอื่น ๆ มีลักษณะเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มปานกลาง มีความสูง 6-15 เมตร กิ่งจะห้อยลง ใบ มีสีเขียว ลักษณะใบรวมแบบขนนก มีใบย่อย 5-11 ใบ มีรูปร่างคล้ายรูปไข่ ขนาด 2-5 เซนติเมตร ดอก จะแตกจากซอกก้านใบ มีสีชมพูอ่อนจนถึงสีม่วง ดอกขนาดเล็กเมื่อเวลาดอกบานมีกลิ่นหอม ผล มีลักษณะรูปไข่ มีร่องกลีบลึกเห็นได้ชัดเจน ขนาด 7-13 เซนติเมตร ผลอ่อนมีสีเขียว ผลสุกจะมีสีเขียวปนเหลืองหรือน้ำตาลมีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวหรือหวานแล้วแต่ชนิดของพันธุ์ บางครั้งมีรสฝาด

นักโภชนศาสตร์ได้ วิเคราะห์คุณค่าทางอาหารของมะเฟืองแล้วพบว่า อุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซีน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและพลังงาน ซึ่งสารอาหารที่พบในมะเฟืองหนึ่งผลนั้นสามารถที่จะช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรงควบคุมการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ ควบคุมกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวง่าย กล่อมประสาทช่วยระงับความฟุ้งซ่าน จึงช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นในผู้ที่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ

สรรพคุณทางยาสมุนไพร ใบ ใช้ใบสด นำมาตำให้ละเอียด ใช้ทาแก้กลากเกลื้อน แก้ปวดฟัน และใช้ทารักษาอีสุกอีใส ใบและราก ใช้ใบและรากสด นำมาต้มเอาน้ำเป็นยาแก้พิษร้อน แก้ไข้ ใบและผล ใช้ใบและผลสด นำมาต้มกินเป็นยาแก้ไข้ แก้อาเจียน ดอก ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ผล ใช้ผลสด นำมาคั้นเอาน้ำกิน เป็นยาแก้เลือดออกตามไรฟัน แก้บิด ขับน้ำลาย แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ไข้ แก้กระหาย แก้เมา แก้ท้องร่วง ลดอาการอักเสบ ขับปัสสาวะหรือใช้ผสมกับสารส้มหรือสุรากินแก้โรคนิ่ว เปลือกลำต้นมะเฟือง นำมาต้มน้ำดื่มแก้อาการเมาเหล้า เมารถ แก้ไข้ ท้องร่วง และแก้พิษยาเสพติดที่ร้ายกาจอย่างเฮโรอีนได้ แต่มี ข้อห้ามใช้คือ สตรีที่ตั้งครรภ์ไม่ควรที่จะรับประทานผลมะเฟืองมากเกินไป เพราะอาจจะทำให้แท้งลูกได้ เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยทำให้เลือดแข็งตัวง่าย

ดังนั้นการกินมะเฟือง จะกินทั้งผลที่ให้รสชาติอมหวานอมเปรี้ยวถูกใจ หรือจะกินแบบเป็นเครื่องเคียงในอาหาร เช่น กินกับแหนมเนืองก็อร่อยเข้ากันดี หรือจะนำมาคั้นเป็นน้ำมะเฟืองแช่เย็นไว้ดื่มเพื่อดับกระหายก็ได้เพราะน้ำมะเฟืองจะช่วยดับร้อนใน แก้กระหายและสำหรับผู้ที่เป็นโรคนิ่ว น้ำมะเฟืองก็จะช่วยขับปัสสาวะและสลายนิ่วได้ดีอีกด้วย

เมื่อทราบสรรพคุณของมะเฟืองกันแบบนี้แล้วอย่าลืมเลือกรับประทานผลไม้รูปดาวนี้ที่ไม่ใช่แค่สวยงามอย่างเดียวแต่ยังมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพอีกด้วย.

ที่มา เดลินิวส์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น